กลยุทธ์การลงทุนในครึ่งหลังของปี 2563
เรียกได้ว่ากว่าจะผ่านครึ่งปีแรกของปีนี้ไปได้ นักลงทุนหลายท่านคงหนาวๆ ร้อนๆ กันมาบ้างทั้งสงครามการค้า และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ดีตลาดเริ่มคาดการณ์เกี่ยวกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะใน 2Q63F ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดต่ำของปี ทั้งนี้อีกแค่เดือนเดียวก็จะเข้าสู่ครึ่งหลังของปี เราจึงมีกลยุทธ์การลงทุนจากฝ่ายวิเคราะห์เอเอสแอล ในช่วงที่เหลือของปีให้กับผู้อ่านและนักลงทุนทุกท่านกันครับ
ภาพรวมตลาดในช่วงเดือนที่ผ่านมาถือว่ามีการปรับตัวขึ้นเบรคแนวต้าน 1,300 แต่สุดท้ายก็ยืนเหนือไม่ไหวเพราะ PE กว่า 18 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างแพง และการปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานที่เกิดขึ้นจริง สังเกตได้จากวอลุ่มขายของต่างชาติในเดือนนี้ อยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท MTD แต่ถ้านับตั้งแต่ต้นปีจะถูกขายสุทธิอยู่ที่ 1.93 แสนล้านบาท YTD
สถานการณ์ในตอนนี้อาจเรียกได้ว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก” นอกเหนือจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะมียารักษาหรือวัคซีนป้องกันได้เมื่อไหร่ ก็ยังมีประเด็นเรื่องสงครามการค้าที่กลับมาระอุอีกครั้งหลังทรัมป์ใช้วาทะกรรมทางการเมืองโจมตีจีน นอกจากนี้หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผ่านร่างกฎหมาย “Holding Foreign Companies Accountable Act” ซึ่งอาจทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอาจทำให้บริษัทจีนจำนวนมากไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ หรือระดมเงินทุนจากนักลงทุนชาวอเมริกันได้ในอนาคต ขณะเดียวกัน จีนเตรียมออกกฎหมายเพื่อควบคุมฮ่องกง ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐ
สำหรับประเด็นในประเทศที่น่าสนใจจะเป็นเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งสู่ระดับ 0.50% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องด้วยมองว่าเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อติดลบมากกว่าที่คาด ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนภาคการส่งออกเดือน เม.ย. 63 กระทรวงพาณิชย์ก็ออกรายงานขยายตัวต่อเนื่อง สวนทางตลาดคาด จากสินค้าเกษตรและอาหาร-ทองคำพุ่งขึ้น ส่วนเรื่องความคืบหน้าการปลดล็อกดาวน์ ศบค. ยังคงขยายการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 63 และต้องติดตามไทม์ไลน์ผ่อนปรนเฟส 3 ที่เกี่ยวกับกิจการ/กิจกรรมที่มีความเสี่ยงปานกลางไปถึงสูงในการติดเชื้อ
ด้านหุ้นเด่นที่เราแนะนำ:BEM RBF HMPRO TOP SCC BDMS lj;oแนวโน้มแต่ละอุตสาหกรรมเรามีความเห็นดังต่อไปนี้
1.กลุ่มธนาคาร: เราชอบธนาคารขนาดเล็กกมากกว่า เนื่องจากได้ประโยชน์ของ Cost of fund ที่ลดลงหลังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในเดือน พ.ค. เช่น TMB TISCO ส่วนกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่เราแนะนำหลีกเลี่ยงไปก่อนเนื่องจาก NIM ที่มีแนวโน้มจะลดลง
2.กลุ่มการเงิน: เราชอบกลุ่มนี้เป็นพิเศษหลังได้ปัจจัยบวกจากการที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมถึงจากแนวโน้มผลการดำเนินงานในระยะยาวที่จะขยายตัวต่อเนื่อง หนี้ด้อยคุณภาพที่อยู่ในระดับต่ำ และค่าใช้จ่ายสำรองฯที่จะไม่เพิ่มขึ้นสูง เราชอบ MTC SAWAD
3.กลุ่มอสังหาฯ: แม้จะได้รับ Sentiment เชิงบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทำให้ผู้ที่จะซื้อที่อยู่อาศัยมีภาวะหนี้ที่ลดลง ช่วยสนับสนุนยอดขายโครงการให้เพิ่มขึ้น แต่ด้านผลประกอบการเองยังคงอ่อนแอและมีการปรับแผนธุรกิจทั้งเป้ารายได้ เป้ายอดจองที่ลดลง เรามองว่า แม้ในช่วงนี้มีบรรยากาศที่เอื้อต่อการซื้อบ้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและการช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้กำลังซื้อหดตัวลงไปด้วย เรามองว่าในช่วงนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักของกลุ่มอสังหาฯ
4.กลุ่มพลังงาน: ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาแรง จากความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง การทยอยปลดล็อกในหลายๆพื้นที่ ส่งผลให้อุปสงค์เริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ดีมีปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งรวมถึงประเด็นที่จีนเตรียมออกกฎหมายเพื่อควบคุมฮ่องกง เราชอบ PTTEP PTG
5.กลุ่มโรงไฟฟ้า: ยังคงเป็นธุรกิจที่มีรายได้แน่นอน เนื่องจากมีการไฟฟ้าแห่งประเทศไทยเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่รับซื้อ และยังมีการทำสัญญาระยะยาว ทำให้มั่นใจได้ว่าผลประกอบการจะไม่มีความผันผวน หลายบริษัทยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาที่ปรับตัวขึ้นมาก่อนกลุ่มอื่นแล้ว เราแนะนำ “Neutral” ส่วน Top pick เราชอบ GULF EGCO RATCH
6.กลุ่มเทคโนโลยี: กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แม้จะมีประเด็นบวกของ Work from Home หรือ การเรียนออนไลน์ มากขึ้น แต่การแข่งขันภายในกลุ่มเองยังคงมีความรุนแรงอยู่มาก เราแนะนำ “Neutral” ส่วน Top pick เราชอบ ADVANC และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จากรายงาน สศอ. ชี้ให้เห็นว่าการส่งออกในอุตสาหกรรม Hard disk drive (HDD) ที่โต 10.18% หลังทั่วโลกใช้นโยบาย Work from Home เราแนะนำ “เข้าสะสม” ส่วน Top pick เราชอบ KCE DELTA
7.กลุ่ม Consumer : การเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้คาดหวังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอยปรับตัวดีขึ้นมาก่อน เราแนะนำ “เข้าสะสม” ส่วน Top pick เราชอบ CRC HMPRO
8.กลุ่มท่องเที่ยว : เราอาจเริ่มมองเห็นการเริ่มฟื้นตัวระยะสั้นหลังเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ทั้งนี้หากพัฒนาการของโควิดออกไปในทิศทางบวก ก็ความเป็นไปได้ที่จะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เราแนะนำ “เข้าสะสม” ส่วน Top pick เราชอบ CENTEL AOT
9.กลุ่มขนส่ง : ทิศทางการฟื้นตัวเรายังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่มขนส่งที่เป็นบริการรถไฟฟ้าและทางด่วน มากกว่ากลุ่มสายการบิน ยอดจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าและทางด่วนคาดจะค่อยๆทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ก่อน รวมถึงสายการบินภายในประเทศ ในส่วนของสายการบินต่างประเทศยังคงต้องรอให้สถานการณ์ประเทศอื่นมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่านี้ เราแนะนำ “เข้าสะสม” กลุ่มขนส่งเป็นบริการรถไฟฟ้าและทางด่วน และสายการบินในประเทศ ส่วน Top pick เราชอบ BTS BEM AAV และยังคง แนะนำ “หลีกเลี่ยง” กลุ่มสายการบินต่างประเทศ
10.กลุ่มอาหารและเกษตร: เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งมากในช่วงที่เกิดวิกฤติแบบนี้ เนื่องจากความเป็นปัจจัย 4 ของมนุษย์ที่ขาดไม่ได้ โดยเราชอบ CPF RBF เป็นหุ้นเด่น ส่วนกลุ่มเกษตรเราชอบ STA ที่ผลประกอบการแข็งแกร่ง และราคายัง outperform ตลาดได้ดี เนื่องจากคำสั่งซื้อถุงมือยางที่มีอย่างต่อเนื่อง