FinTech 2021: บทเรียนจาก Ant

FinTech 2021: บทเรียนจาก Ant

ปีที่ผ่านมา แม้การระบาดของโควิดจะส่งผลให้เกิดวิกฤติไปทั่วโลก แต่ในอีกด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

ทั้งยังเกิดหลายเหตุการณ์สำคัญที่จะเป็นทั้งบทเรียนและข้อคิดในการกำกับดูแล ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนในการขับเคลื่อน FinTech ในปี 2021


จุดเริ่มที่แตกต่าง : เมื่อ West เรียนรู้จาก East
กล่าวคือ หากพิจารณารูปแบบการทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีในฝั่งยุโรปและสหรัฐ สังเกตได้ว่าเดิมที การทำธุรกิจจะอยู่ในลักษณะ Silos คือ บริษัทจะประกอบธุรกิจหลักเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งชัดเจน (แม้ว่าในปัจจุบันอาจประกอบธุรกิจที่หลากหลายขึ้น) เช่น ธุรกิจหลักของ Amazon คือ อี-คอมเมิร์ซ, ของ Facebook คือ โซเชียล มีเดีย และ ของ วีซ่า/มาสเตอร์ คือ ระบบชำระเงิน เป็นต้น


ในทางกลับกัน ธุรกิจในจีนอย่าง Alibaba หรือ Tencent มีรูปแบบการประกอบธุรกิจแบบ “รวมศูนย์” คือ รวมกิจการหลายประเภทอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลของตนเอง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นอันแข็งแกร่งของ Ant Group ที่ได้เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของอี-คอมเมิร์ซให้เป็นได้ทั้งร้านค้าออนไลน์ ระบบชำระเงิน เกมส์ออนไลน์ การส่งข้อความหากันไม่ว่าจะในรูปแบบข้อความ วีดีโอคอล หรือ live-streaming
เมื่อ Ant กำลังจะได้ออก IPO


ดังนั้น เมื่อ Alibaba มีทุกอย่างครบจบอยู่บนแพลตฟอร์ม และ Ant เป็นช่องทางหลักในการให้บริการทางการเงิน จึงไม่น่าแปลกใจว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Ant มากกว่าพันล้านบัญชี ซึ่งความสำเร็จนี้ เป็นที่มาของการประกาศขายไอพีโอที่มีมูลค่าสูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วง Q4 ของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ทุกอย่างเหมือนกำลังจะไปได้ดี แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นตามคาด เมื่อรัฐบาลจีนประกาศห้าม Ant ขายไอพีโอ พร้อมทั้งปรับเกณฑ์กฎหมายผูกขาดทางการค้า (Antitrust Law) และกฎหมายทางการเงินใหม่โดยอ้างเหตุผลในเรื่องเสถียรภาพของระบบการเงิน (Financial Stability)


เมื่อ Ant โดยเบรก : จากกฎหมายผูกขาดทางการค้าฉบับใหม่
เหตุผลแรกที่รัฐบาลจีนใช้ เบรก Ant IPO คือ ประเด็นในเรื่องการผูกขาดทางการค้า ซึ่งสำหรับจีนนี่ถือเป็นครั้งแรกในการนิยาม “Anti-Competitive behavior” หรือ “พฤติกรรมจำกัดการแข่งขัน” สำหรับภาคเทคโนโลยี โดยหากพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบแล้ว พบว่า ที่ผ่านมาระบบนิเวศที่บริษัทเทคโนโลยีของจีนได้สร้างขึ้นนั้น มีลักษณะ “แบบวงจำกัด” ส่งผลให้การชำระเงินข้ามแพลตฟอร์มอาจไม่สามารถทำได้ เช่น ผู้ใช้บริการที่ใช้ระบบชำระเงินของ WeChat Pay (ในเครือ Tencent) จะไม่สามารถซื้อของและชำระเงินด้วย WeChat Pay บนร้านค้าออนไลน์ของ Taobao (ในเครือ Alibaba) ได้


ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้ คือ หนึ่งในปัญหาที่ทางการจีนมองว่าเป็นการผูกขาดทางการค้าประเภทหนึ่ง และโจทย์สำคัญ คือ
ทำอย่างไรให้ระบบชำระเงินของแพลตฟอร์มเจ้าหนึ่งสามารถชำระราคาบนแพลตฟอร์มอีกเจ้าที่เป็นคู่แข่งกันได้ เหล่านี้ คือที่มาของกฎเกณฑ์การกำกับตลาด หรือ Market Regulation ฉบับใหม่ ที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการผูกขาดทางการค้าของบริษัทเทคโนโลยี และได้ส่งผ่านไปถึง Ant Group ในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมงก่อนการประกาศขาย IPO


เมื่อ Ant โดนเบรก : ทำลายเสถียรภาพทางการเงิน?
ประเด็นที่สองที่ทางการจีนได้กล่าวถึง คือ ธุรกิจของ Ant อาจทำลายเสถียรภาพของระบบการเงินในจีนได้ ซึ่งหากเริ่มต้นที่ขนาด เมื่อนับรวมมูลค่า Ant Group และ Tencent เข้าด้วยกัน พบว่ามีมูลค่าตลาดกว่า Bank of China และหากพิจารณาในด้านการให้บริการ บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถทำธุรกรรมที่หลากหลายและอาจมากกว่าธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่ถูกทางการจับตามองเป็นพิเศษในครั้งนี้ คือ “การปล่อยสินเชื่อรายย่อย” ซึ่งธุรกิจที่ Ant ทำมีลักษณะเป็นตัวกลางในการให้กู้ยืมออนไลน์ โดยเงินส่วนใหญ่ที่ใช้ในการปล่อยกู้เป็นของธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น โดยเป็นเงินของ Ant เองแค่ 2% (หรือสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง หรือ Capital Adequacy Ratio แค่ 2%) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า Ant ทำหน้าที่ไม่ต่างจากนายหน้าในการหาลูกค้าให้กับแหล่งเงินอื่น


ดังนั้น จากข้อเท็จจริงนี้ จึงเป็นที่มาของการปรับเกณฑ์ในการให้ Ant ต้องเป็นแหล่งเงินกู้เองอย่างน้อย 30% เพื่อลดปริมาณการปล่อยสินเชื่อรายย่อยแบบออนไลน์ในจีนที่ทางการมองว่ามีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ด้วยเหตุผลข้างต้น ธนาคารกลางจีนจึงได้ประกาศให้ Ant “กลับไปประกอบธุรกิจระบบชำระเงินอย่างเดิม” และ “ต้องเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจทางการเงินอื่น” ให้เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและสอดคล้องกับนโยบายการแข่งขันที่เป็นธรรม


จุดสมดุลของการกำกับที่เหมาะสม
สำหรับผู้เขียน ได้ตั้งคำถามว่า อะไรคือการกำกับที่เหมาะสม? หากพิจารณาจากมุมมองของทางการจีน หนึ่งในประเด็นที่กังวล คงไม่พ้นประเด็น “Too big to fail” ตามหลักทฤษฎีที่ว่า บริษัทเทคโนโลยีในจีนเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และมีความเชื่อมโยงต่อหลายส่วนของระบบเศรษฐกิจ จนไม่สามารถปล่อยให้ธุรกิจเหล่านี้ล้มหรือสร้างความเสียหายให้ระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับวิกฤติ Subprime ในสหรัฐเมื่อปี 2000 จะเห็นว่าการทำ MBS (ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง) หรือ CDOs (แปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์) ในยุคนั้นได้ก่อให้เกิดวิกฤตในภาคอสังหาจนลามสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคอสังหา


ในเชิงเปรียบเทียบ การปล่อยสินเชื่อของแพลตฟอร์มในจีนส่วนมากเป็นสินเชื่อรายย่อย ที่ผู้ขอสินเชื่อครอบคลุมอยู่ในหลากหลายเซคเตอร์ ซึ่งหากเกิดหนี้เสียจำนวนมาก หรือ แพลตฟอร์มมีการดำเนินธุรกิจที่ผิดพลาดจะสามารถลามเข้าสู่ระบบธนาคาร และภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้โดยง่ายและขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่อาจเป็นอีกประเด็นในเรื่องเสถียรภาพทางการเงินที่ทางการจีนเป็นกังวลในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญวิกฤติ


อย่างไรก็ดี ในทางกลับกัน การกำกับที่เข้มงวดเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการพัฒนาของเทคโนโลยี และเป็นการลดโอกาสการเติบโตของ FinTech Firms ซึ่งในอีกด้านก็อาจเป็นการจำกัดการแข่งขันให้มีแต่ผู้เล่นเดิมที่อยู่ในตลาด และยังอาจเป็นการจำกัดการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนที่เข้าไม่ถึงการให้บริการของสถาบันการเงินในปัจจุบัน


ท้ายที่สุด ผู้เขียนเชื่อว่า บทเรียนจาก Ant ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญส่งท้ายปี 2020 ที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปี 2021และสำหรับ Regulators นี่คือ เหตุที่ชวนให้คิดว่าการกำกับดูแลในปัจจุบันและที่วางแผนในอนาคตพบจุดสมดุลที่เหมาะสมเพื่อพร้อมรับกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในอนาคตหรือยัง? 

(บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน)