จับตาเทรนด์ดิจิทัลใน EU และความท้าทายใหม่หลังโควิด
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โลกดิจิทัลก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็น มาตรการล็อกดาวน์ระดับประเทศเพื่อรับมือกับตัวเลขผู้ติดเชื้อจากไวรัสโควิดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ณ ปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั่วโลกกว่า 86 ล้านราย) ซึ่งนำไปสู่การใช้ชีวิตแบบ “new normal” หรือ การใช้ชีวิตประจำวันโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อไวรัส ซึ่งมีความจำเป็นต้องพึ่งพาระบบดิจิทัลมากขึ้น อาทิ การทำงาน/เรียนหนังสือจากที่บ้านผ่านโปรแกรมประชุมออนไลน์ การสั่งซื้ออาหารและสินค้าต่าง ๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นและช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์และการชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารแทนการจ่ายเงินสด ซึ่งการใช้ชีวิตแบบ “new normal” นี้ เป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งกระบวนการเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลและกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
การรับมือกับภัยจากการแพร่ระบาดของข้อมูลเท็จ
การตีพิมพ์ข้อมูลเท็จนั้นเป็นปัญหาในโลกออนไลน์ตั้งแต่ก่อนจะเกิดวิกฤตโควิดแล้ว อาทิ การใช้ข้อมูลเท็จในการโฆษณาสินค้าเกินความเป็นจริง หรือ การบิดเบือนและ/หรือป้อนข้อมูลที่มีเนื้อหารุนแรงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งสามารถเข้าถึงประชาชนได้ง่ายและรวดเร็วผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ แต่ทว่าวิกฤตโควิดทำให้รัฐบาลเห็นความจำเป็นในการเร่งควบคุมการแพร่ของข้อมูลเท็จ โดยเฉพาะในเรื่องของข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพซึ่งไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแหล่งที่มาของข้อมูล ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนที่ปัจจุบันมีการเสพข่าวจากสื่อออนไลน์อย่างแพร่หลาย
เนื่องจากช่วงเดือนธันวาคม 2563 มีกระแสต่อต้านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในโลกออนไลน์ หลังจากมีการเผยแพร่คลิปวีดีโอของพยาบาลรายหนึ่งเป็นลมทันทีหลังรับวัคซีน ซึ่งภายหลังได้มีการแถลงข่าวว่าพยาบาลรายนั้นมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว มิใช่ผลกระทบจากการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี คลิปนี้ก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีนเป็นทุนเดิม จึงเริ่มมีการเผยแพร่ข่าวเท็จนี้ออกไปในวงกว้าง ทำให้เป็นภัยอันตรายต่อส่วนรวมและเป็นอุปสรรคในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะประชาชนส่วนมากต้องมีภูมิคุ้มกันไวรัสโควิดก่อน เศรษฐกิจจึงจะกลับไปสู่ภาวะปกติได้ ภาครัฐจึงควรมีมาตรการในการจัดการกับข้อมูลเท็จอย่างเป็นรูปธรรม
อียูได้เสนอร่างกฎหมายการให้บริการดิจิทัล (Digital Services Act (DSA)) เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบของโซเชียลมีเดียและผู้ให้บริการออนไลน์ในการกรองข่าวปลอม (fake news) ถ้อยคำที่แสดงความเกลียดชัง (hate speech) รวมทั้งการปกป้องกระบวนการเลือกตั้ง และการอภิปรายสาธารณะให้เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย โดยผู้ให้บริการออนไลน์ อาทิ Facebook Twitter ต้องมีเครื่องมือในตรวจสอบและลบข้อมูลที่ไม่เหมาะสม/ข้อมูลที่มีการบิดเบือนความจริงออกทันที โดยผู้ให้บริการต้องให้เหตุผลในการลบข้อมูลนั้นออกแก่ผู้ใช้ด้วย และมีบทลงโทษหากผู้ให้บริการออนไลน์ละเลยไม่จัดวางกลไกที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาข่าวปลอม
การลดการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
สืบเนื่องจากวิกฤติโควิดทำให้บริษัทผู้ให้บริการออนไลน์ยักษ์ใหญ่ อาทิ Google และ Apple มีอำนาจเทียบเท่าหรือเหนือกว่ารัฐบาลในเรื่องของการกำหนดมาตรฐานของแอพพลิเคชั่นเพื่อติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และมีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้ภาครัฐตื่นตัวในการออกมาตรการเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ และเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเข้ามาแข่งขันได้มากขึ้น
อียูได้เสนอร่างกฎหมายการตลาดดิจิทัล (Digital Market Act (DMA)) เพื่อควบคุมบริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่ หรือบริษัทที่เป็นผู้คุมประตู (Gatekeeper) ระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Google บริษัท Amazon และบริษัท Booking.com เนื่องจากปัจจุบันบริษัทเหล่านี้สามารถเก็บข้อมูลความสนใจของผู้ใช้และเลือกนำเสนอโฆษณาของบริษัทตนเอง ทำให้บริษัท SME ไม่มีทางเข้าถึงผู้บริโภคได้ ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้จะห้าม “บริษัทผู้คุมประตู” ไม่ให้มีแนวปฏิบัติที่ถือว่ากระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดออนไลน์ เพื่อป้องกันการผูกขาดบริการออนไลน์และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม โดยเฉพาะสนับสนุนให้บริษัทสตาร์ทอัพมีโอกาสแข่งขันในตลาดออนไลน์มากขึ้น
การจัดเก็บภาษีดิจิทัลจากบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ
ในขณะที่มาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกถดถอย อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และร้านขายปลีกจำนวนมากก็แทบเอาตัวไม่รอด แต่บริษัทยักษ์ใหญ่กลับสร้างรายได้เพิ่มขึ้น (ส่วนมากเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันจากซิลิคอนวัลเลย์) ซึ่งส่งผลให้บริษัทเหล่านี้มีพลวัตรในอุตสาหกรรมดิจิทัลมากขึ้น จึงไม่แปลกใจที่รัฐบาลในหลายประเทศ เริ่มมีการจับตาพฤติกรรมผูกขาดทางการค้าของบริษัทเหล่านี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น รวมถึงเสนอให้มีการพิจารณาจัดเก็บภาษีดิจิทัล ซึ่งจะเป็นอีกแหล่งรายได้เพื่อนำมาเยียวยาเศรษฐกิจในยุคโควิด รวมถึงควบคุมสนามการแข่งขันในโลกออนไลน์ให้มีความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจ SMEs สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้
เมื่อปีที่แล้ว อียูได้มีการเสนอให้เก็บภาษีดิจิทัลในอัตราร้อยละ 3 สำหรับบริษัทที่มีรายได้ 750 ล้านยูโรขึ้นไป แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการผลักดันมาตรการใหม่นี้ในระดับอียู เนื่องจากไอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และสวีเดนลงมติไม่เห็นด้วย ในขณะเดียวกัน ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และออสเตรีย ได้ได้ออกกฎหมายภายในจัดเก็บภาษีดิจิทัลแล้ว ทั้งนี้ อียูมีกำหนดเสนอแผนการจัดเก็บภาษีดิจิทัลในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 นี้ ซึ่งทางทีมงานจะคอยติดตามเพื่อรายงานให้ผู้อ่านทราบในโอกาสแรกต่อไป
การพัฒนา Big Data
แม้ว่าอียูจะไม่สามารถตามสหรัฐ ทันในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล (เพราะบริษัทโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่เป็นของสหรัฐ) แต่อียูก็ตั้งเป้าว่าจะพยายามเป็นผู้นำในเรื่องข้อมูลอุตสาหกรรม (industrial data) โดยอียูอยู่ระหว่างจัดทำร่างกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วยการบริหารจัดการข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนข้อมูลในระบบที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งตั้งเป้าสร้างฐานข้อมูลร่วมด้านสุขภาพ การขนส่ง สิ่งแวดล้อม การเกษตร และการบริหารงานภาครัฐ นอกจากนี้ อียูมีแผนสร้างระบบคลาวด์ Gaia-X ของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาระบบคลาวด์ของประเทศอื่น เช่น สหรัฐ และจีน
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
เมื่อต้นปี 2563 อียูได้เผยแพร่สมุดปกขาวเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ระบุแผนการออกกฎหมายที่จะครอบคลุมมิติเทคโนโลยี จริยธรรม กฎหมาย สังคมและเศรษฐกิจของปัญญาประดิษฐ์ และแสดงท่าทีว่าจะมีมาตรการที่เคร่งครัดเพื่อควบคุมเทคโนโลยีจดจำใบหน้า แต่ล่าสุดอียูดูเหมือนจะเปลี่ยนท่าทีในเรื่องนี้ โดยประกาศว่าจะจัดให้มีการอภิปรายสาธารณะทั่วยุโรปในเรื่องเทคโนโลยีไบโอเมตริก (ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีจดจำใบหน้า) ก่อนจะพิจารณาในเรื่องนี้ต่อไป
การผลักดันกฎบัตรว่าด้วยสิทธิพื้นฐานดิจิทัล
โปรตุเกส ในฐานะประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีแผนที่จะเสนอกฎบัตรว่าด้วยสิทธิพื้นฐานดิจิทัล หรือ “Charter of Digital Rights” ซึ่งต้องการที่จะเสริมสร้างสิทธิส่วนบุคคลในโลกดิจิทัล ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 นี้ โดยโปรตุเกสมุ่งมั่นที่จะผลักดันแผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ยุโรปเป็นแหล่งอ้างอิงในยุคดิจิทัล และให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องสิทธิประชาธิปไตย ความยั่งยืน และหลักจริยธรรม ภายใต้หลักการ “ประชาธิปไตยดิจิทัลอย่างมีเป้าหมาย”
โลกดิจิทัลเป็นเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้น นโยบายการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของอียูจึงมีสองมิติ กล่าวคือการเร่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล ควบคู่ไปกับการสร้างกรอบกฎหมายเพื่อควบคุมและป้องกันภัยต่าง ๆ จากโลกดิจิทัล
*เรียบเรียงโดย ทีมงาน thaieurope.net