กำราบวิตกจากโควิด

กำราบวิตกจากโควิด

ในยามที่โควิดระบาดเช่นทุกวันนี้ ถ้ารู้สึกไม่สบายใจ มีความกังวลใจ รู้สึกหวาดหวั่นหงุดหงิด  ไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตเหมือนก่อน ฯลฯ ไม่ต้องตกใจ

 เพราะมีเพื่อนอีกมากมายที่รู้สึกเหมือนท่าน   ถ้าเราเข้าใจความรู้สึกของเราดีขึ้นอาจช่วยให้คุณภาพชีวิตไม่ลดลงไปมากก็เป็นได้ มนุษย์มีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ในการคาดเหตุการณ์ในอนาคต    “การคิดไปข้างหน้า” ช่วยให้สามารถคาดคะเนอุปสรรคหรือปัญหาและทำให้มีโอกาสที่จะวางแผนแก้ไข   หากการ “คิดไปข้างหน้า” ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์   เช่น  ล้างมือบ่อย    รักษาระยะห่างและใส่หน้ากากอนามัย  ช่วยให้ป้องกันติดเชื้อโควิด     

อย่างไรก็ดีความวิตกกังวลซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของ “การคิดไปข้างหน้า”   หากมีมากเกินไปก็จะทำให้รู้สึกกระวนกระวายวิตกกังวล และหวาดหวั่นจนชีวิตขาดความสุข

จินตนาการในทางร้าย ผลักดันให้ความกังวลพุ่งขึ้น และหากไม่มีการควบคุมก็จะนำไปสู่การคิดในทางร้ายสุด  จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ    รู้สึกอ่อนเพลีย    ปวดเนื้อตัวและกล้ามเนื้อ   กระวนกระวายใจและไม่สามารถผ่อนคลายได้    นักจิตวิทยาพบว่า 3 สิ่งที่จุดให้ผู้คนเกิดความรู้สึกวิตกกังวล        ก็คือ (1) ความกำกวม  หมายถึงการขาดความแน่ชัดจนสามารถตีความได้หลายลักษณะ  (2)  ความแปลกและใหม่หมายถึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจนไม่สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้วมาใช้ประโยชน์ได้   (3)  การคาดคะเนไม่ได้  หมายถึงการไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

การระบาดของโควิดมีครบทั้ง 3 เงื่อนไขจึงทำให้ผู้คนทั่วโลกเกิดความรู้สึกวิตกกังวลอย่างเสมอหน้า   เชื้อโควิด-19กลายพันธุ์ไปได้หลายรูปแบบและหลากพิษสง  ไม่อยู่นิ่งและไม่ลงตัวไปชัด     ยาที่รักษาโรคก็ไม่เห็นพ้องกันว่าควรเป็นยาอะไร     ยิ่งวัคซีนแล้วยิ่งปวดหัว  ว่ากันไปคนละทางจนไม่รู้ว่าอะไรคือข้อสรุป  แถมโรคนี้ก็แปลกและใหม่มาก   ไม่มีประสบการณ์เดิมมากเพียงพอที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้   และสุดท้ายไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบลงเมื่อใด   อย่างไร   และมีผลกระทบต่อผู้คนมากน้อยเพียงใด

ความไม่ชัดเจนบวกการขาดประสบการณ์ที่จะมาช่วย และการไม่สามารถพยากรณ์ได้จึง  ทำให้เกิดความเครียด   เกิดความวิตกกังวลอย่างมากไปทั้งโลก   นอกจากนี้ยังเกิดผลกระทบต่อผู้คนในเรื่องรายได้   การมีงานทำ   หนี้สิน    การประคับประคองธุรกิจและชีวิตให้พออยู่รอดไปได้อย่างไม่รู้ว่าจะเป็นเวลายาวนานเพียงใด   

นอกจากนี้ยังมี 3 เหตุผลที่ทำให้การระบาดของโควิดฝังอยู่ในจิตวิทยาแห่งความหวาดกลัวเป็นพิเศษ อันได้แก่  ()  มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นที่อยู่ได้ในทุกสถานที่และพร้อมที่จะเป็นพิษภัยแก่ตัวเรา (สามารถติดจากคนสู่คนได้อย่างง่ายดายในทุกโอกาสและ ()  การติดเชื้ออาจเกิดเมื่อใดก็ได้โดยเฉพาะในเวลาอันใกล้     สามสิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีการคุกคามอยู่ตลอดเวลาจนกลายเป็นความวิตกกังวลว่าอาจติดเชื้อจนป่วยหรือตายได้    สำหรับบางคนที่มีความสามารถเป็นพิเศษในการจินตนาการด้านร้าย และควบคุมความคิดของตนเองได้น้อย ก็จะเกิดความวิตกกังวลมากกว่าคนปกติ จนมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตมากกว่าคนอื่น

เราจะแก้ไขปัญหาความวิตกกังวลอันเกิดจากการระบาดของโควิดได้อย่างไร?    นักจิตวิทยาให้คำแนะนำ 5 ข้อ ดังนี้  

(1)  ยึดวิทยาศาสตร์เป็นหลัก     อย่าสนใจคำพูดหรือข่าวที่ไปทางดราม่าในสื่อโดยเฉพาะโซเชียลมีเดียเพราะความจริงมักถูกปิดบัง     บิดเบือน    หรือเว่อร์อยู่บ่อย จงให้ความสนใจกับวิทยาศาสตร์ที่มาจากแหล่งทางการที่เชื่อถือได้เพื่อจะไม่รู้สึก ทุกข์ใจ  สับสน   และท้อแท้  

(2)  ตัดขาดแต่ไม่ห่างไกล ป้องกันตนเองด้วยการรักษาระยะห่างทางสังคมอยู่เสมอ   โดยไม่ตัดขาดจากเพื่อนและคนที่เรารัก     โลกสมัยใหม่ทำให้เราสามารถมีร่างกายที่อยู่ห่างไกลแต่ใจอยู่ชิดกันได้    การมีเพื่อนในยามนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะจักได้เรียนรู้ว่าคนอื่น  ก็มีชีวิตที่ไม่เป็นปกติและมีความวิตกกังวลไม่ต่างไปจากเราเช่นกัน

(3)  เน้นกลุ่มใกล้ตัว   เน้นกลุ่มคนที่ใกล้ตัว  ไม่ว่าครอบครัวหรือชุมชน  ต้องตระหนักถึงผลที่จะเกิดใกล้ตัวเสมอ เช่น การทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกที่ดีจากคำพูดที่ให้กำลังใจ   การช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นการให้เวลา   ทรัพยากร  เงินทอง   ความสนใจฯลฯ  

(4)  ฝึกฝนดูแล   ดูแลตนเองเป็นอย่างดี     กินอาหารถูกหมู่     พักผ่อนเพียงพอ    ออกกำลังกาย และมีพฤติกรรมที่ดีในการดูแลตนเอง เช่น   ห่างจากบุหรี่    แอลกอฮอร์  หรือยาเสพติด  ที่เชื่อว่าช่วยลดความเครียด                      

(5)  หาความหมาย   โควิดทำให้บางคนรู้สึกว่าสูญสิ้นความสามารถในการควบคุมสรรพสิ่ง   ตนเองอยู่ในสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้  ดังนั้นจงแก้ไขด้วยการหาอะไรที่สามารถควบคุมได้มาทำเช่น   ปลูกดอกไม้    อ่านหนังสือ    วาดรูป    ระบายสีรูป     งานศิลปะ    ปรุงอาหาร    ต่อจิ๊กซอ    ฯลฯ   เพื่อให้รู้สึกว่าสามารถทำบางสิ่งได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์     การกระทำเช่นนี้ก็คือการแสวงหาความหมาย  ซึ่งจะช่วยให้ลดความรู้สึกกระวนกระวายและลดความรู้สึกวิตกกังวลลงได้

ความรู้สึกไม่สบายใจและวิตกกังวลในเวลานี้นั้นโดยแท้จริงแล้วคนอื่น  ในโลกก็ประสบเช่นเดียวกับเรา  ไม่มีใครหลุดรอดไปได้   ประเด็นอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่ประสบเดียวกันอย่างไร   ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน   ในยามนี้คนไทยจำนวนมากมีความวิตกกังวลสูง   มีความหวาดหวั่นว่าจะเจ็บป่วย    กังวลเรื่องปากท้อง     เรื่องหนี้สิน   เรื่องการปรับตัวหลังโควิดระบาด ฯลฯ        จนมีความเครียดสูง   หงุดหงิดง่าย และมีความอดทนต่อสิ่งปลุกเร้าต่ำ    พูดง่ายๆก็คือฟิวล์ขาดง่าย 

ดังนั้น ทุกคนต้องอดทน   ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังทั้งในเรื่องกาย วาจาและใจ  (มารยาทในการใช้ถนน   อากัปกิริยาและคำพูดที่สุภาพไม่ก้าวร้าวจะช่วยได้มาก)   ความรุนแรงต่อชีวิตเห็นกันอยู่ทุกวันในสื่อ  น่าคิดว่าทำอย่างไรเราจึงจะไม่เป็นเหยื่อภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าวซึ่งถือได้ว่าแตกต่างจากที่เคยเป็นมาในสังคมไทย

โดยปกติชีวิตมนุษย์ก็เปราะบางอยู่แล้ว    สถานการณ์ในช่วงเวลานี้ทำให้มันเปราะบางยิ่งขึ้นดังนั้นการดำเนินชีวิตอย่างทะนุถนอมความเปราะบางจึงต้องกระทำด้วยความเป็นพิเศษอย่างยิ่ง.