41 ปี เมืองไทยรุ่งหรือร่วงจากฐานข้อมูล IMF | โสภณ พรโชคชัย

41 ปี เมืองไทยรุ่งหรือร่วงจากฐานข้อมูล IMF | โสภณ พรโชคชัย

จากฐานข้อมูลของ International Monetary Fund (IMF) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2523 – ปัจจุบัน และวิเคราะห์ไปจนถึงปี 2569 และอาจพิจารณาไปจนถึงปี 2575 หรือครบ 100 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร

ตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ไทยก้าวหน้า ถอยหลัง หรือซอยเท้าอยู่กับที่อย่างไรในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  แต่ที่แน่ๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหลายประเทศจะแซงหน้าประเทศไทยแล้ว อนาคตไทยจะมีที่ยืนไหม ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) นำฐานข้อมูลของ IMF (https://cutt.ly/2RUZJg1) มาวิเคราะห์ 
    ประเทศไทยของเรามีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross Domestic  Products หรือ GDP) อยู่ที่เพียง  33.422 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2523 มาเพิ่มเป็น  452.948  พันล้านเหรียญในปี 2563 หรือ 40 ปีต่อมา แสดงว่าไทยเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นถึง 14 เท่า เป็นรองเฉพาะสิงคโปร์ที่เติบโตถึง 29 เท่า  ส่วนมาเลเซียก็เติบโตไวถึง 15 เท่าซึ่งก็ถือว่าเร็วกว่าไทย  หากพิจารณาเป็นอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สิงคโปร์เป็นอันดับ 1 ที่ 8.8% ต่อปี มาเลเซียเป็นอันดับ 2 ที่ 7.1% และไทยเป็นอันดับที่ 3 ที่ 6.7% ต่อปี
    ในรอบ 5 ปีล่าสุด (2558-2563) ในกลุ่มประเทศอาเซียน ปรากฏว่าเวียดนามมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดเฉลี่ยปีละ 7.3% อันดับที่ 2 คือเมียนมา 5.7% ต่อปี ส่วนอันดับที่ 3 คือกัมพูชา 5.0% ต่อปี  สำหรับไทยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 1.5% ถือว่าแทบต่ำสุดเป็นอันดับที่ 9 โดยมีอันดับสุดท้ายคือบรูไน ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันในอาเซียน

ถ้าเทียบกับเวียดนามแล้วไทยจะ “หนาว” ยังไง ในขณะนี้รายได้ประชาชาติต่อหัว ณ ราคาคงที่ปี 2558 เพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตในแต่ละปี จะพบว่า ในปี 2569 ขนาดของ GDP ของไทยจะอยู่ที่ 551.758 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ของเวียดนามจะอยู่ที่ 488.425 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพียง 86% ของไทย

แต่หากดูจากประมาณการค่าเฉลี่ยของการเติบโตของ GDP ในช่วงปี 2564-2569 ที่ไทยตกอยู่ที่ 3.3% ส่วนของเวียดนามตกอยู่ที่ 6.4% ก็จะพบว่าภายในเวลา 4 ปีต่อมา คือปี 2573 ขนาดของ GDP ไทยและเวียดนามจะเท่ากัน  และในช่วงต่อไปก็จะแซงไทยออกไปเรื่อยๆ แสดงว่าเวียดนามจะเป็นประเทศล่าสุดที่แซงไทยไป
    อย่างไรก็ตามโดยที่ประชากรของเวียดนามมีมากกว่าไทย โดยคาดว่าในปี 2569 จะมีประชากรอยู่ 102.539 ล้านคน ในขณะที่ไทยจะมีประชากรเพียง 70.372 ล้านคนเท่านั้น ดังนั้นรายได้ประชาชาติต่อหัวของเวียดนาม ณ ปี 2569 จึงอยู่ที่ 4,763 เหรียญสหรัฐต่อปี ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 7,841 เหรียญสหรัฐต่อปี หรืออาจกล่าวได้ว่าโดยเฉลี่ยคนไทยแต่ละคนยังรวยกว่าเวียดนาม หรืออีกนัยหนึ่งคนเวียดนามมีฐานะเพียง 61% ของไทย  ถ้าอัตราการเจริญเติบโตของไทยยังอยู่ที่ 3.3% และของเวียดนามก็ยังอยู่ที่ 6.4% จะปรากฏว่าภายใน 17 ปี นับแต่ปี 2569 หรือ ปี 2586 (22 ปีนับจากนี้ ประชาชนเวียดนามแต่ละคนจะมีฐานะทัดเทียมคนไทย  ทั้งนี้มีโอกาสที่เวียดนามจะแซงไทยเร็วกว่าที่คาดนี้
    อีกชาติหนึ่งที่น่าจับตามองก็คืออินโดนีเซียที่ในปี 2564 มีขนาดเศรษฐกิจถึง 2.5 เท่าของขนาดเศรษฐกิจไทย  แต่โดยที่อินโดนีเซียมีประชากรถึง 272.249 ล้านคน ในขณะที่ไทยมีเพียง 69.951 ล้านคน (หรือ 4 เท่าของคนไทย) ดังนั้นอินโดนีเซียจึงมีรายได้ประชาชาติต่อหัวต่ำกว่าไทยมาก

แต่ ณ ปี 2569 ที่คาดการณ์ไว้ อินโดนีเซียจะมีรายได้ประชาชาติต่อหัวอยู่ที่ 5,326 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 7,841 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือมีรายได้เพียง 68% ของไทยเท่านั้น  ถ้าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ที่ 3.3% และอินโดนีเซียยังอยู่ที่ 5.3% รายได้ประชาชาติต่อหัวของอินโดนีเซียจะเท่ากับไทยในอีก 21ปีถัดไปหรือ ณ ปี 2590
    ที่น่าทึ่งมากก็คือ จีนที่รายได้ประชาชาติต่อหัวของจีนเท่ากับไทยในปี 2554 แต่ ณ ปี 2564 คนจีนรวยกว่าคนไทยถึง 52%  เข้าไปแล้ว และ ณ ปี 2569 คนจีนจะรวยถึง 14,527 เหรียญสหรัฐต่อปี ในขณะที่ไทยจะอยู่ที่ 7,841 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือคนจีนรวยกว่าคนไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 85% หรือเกือบ 1 เท่าตัว ทั้งที่เมื่อปี 2523 คนจีนมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพียง 307 เหรียญสหรัฐต่อปี ในขณะที่คนไทยมีรายได้เฉลี่ย 705 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือถือว่าคนจีนมีรายได้ต่อหัวเพียง 44% ของคนไทยเท่านั้น (หรือคนไทยรวยกว่าคนจีน 2 เท่า)  แต่เดี๋ยวนี้กลับตาลปัตรไปใหญ่แล้ว  ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาในปี 2572 หรืออีกแค่ 8 ปีข้างหน้าเท่านั้น
    อีกประเทศหนึ่งในทางตรงกันข้ามก็คือฟิลิปปินส์ ณ ปี 2523 ฟิลิปปินส์มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติอยู่ที่ 37.082 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนไทยอยู่ที่ 33.422 พันล้านเหรียญสหรัฐ แสดงว่าเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ใหญ่กว่าไทย 11%  อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นปี 2563 ขนาดเศรษฐกิจฟิลิปปินส์อยู่ที่ 369.132 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้น 10 เท่า ในขณะที่ไทยกลับมีขนาดใหญ่กว่าที่ 452.948  ขนาดเศรษฐกิจไทยกลับมาใหญ่กว่าฟิลิปปินส์ถึง 23%  ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงรายได้ประชาชาติต่อหัว จะพบว่าในปี 2563 ฟิลิปปินส์มีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพียง 3,393 เหรียญสหรัฐต่อปี ในขณะที่ไทยสูงถึง 6,489 เหรียญต่อปี  แสดงว่าคนไทยรวยกว่าฟิลิปปินส์ถึง 91% หรืออีกนัยหนึ่งคนฟิลิปปินส์มีรายได้เพียง 52% ของคนไทยเท่านั้น
    ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2548-2549 รายได้ประชาชาติต่อหัวของอินโดนีเซียก็เท่ากับราวครึ่งหนึ่งของไทยเช่นกัน  แต่เดี๋ยวนี้อินโดนีเซียก็พัฒนาไปมากแล้วเช่นกัน  ในกรณีฟิลิปปินส์ ถ้ามีอัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ 6% ตามค่าเฉลี่ยล่าสุด (2564-2569) และไทยอยู่ที่ 3.3%  ณ ปี 2569 รายได้ประชาชาติต่อหัวของฟิลิปปินส์อยู่ที่ 68% ของไทย ฟิลิปปินส์จะเท่าเทียมไทยภายใน 15 ปี หรือ ณ ปี 2584 ไทยจะถูกฟิลิปปินส์แซงแล้ว
    โดยสรุปแล้ว 
    1. ชาติในอาเซียนที่นำหน้าไทยในด้านรายได้ประชาชาติต่อหัวในขณะนี้แล้วก็คือ สิงคโปร์ บรูไนและมาเลเซีย
    2. ชาติที่อาจจะแซงเราก็คือ ฟิลิปปินส์ในปี 2584 เวียดนาม 2586 และอินโดนีเซีย 2590 ทั้งนี้พิจารณาจากรายได้ประชาชาติต่อหัวที่ประเมิน ณ ปี 2569 โดย IMF และใช้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2564-2569 เป็นฐาน
    4. สำหรับประเทศที่ยังจะล้าหลังไทยต่อไปในอนาคตอีกนานก็คือ ลาว กัมพูชา และเมียนมาเท่านั้น
    ถ้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังไม่กระเตื้องขึ้น ก็อาจถูกฟิลิปปินส์ เวียดนามและอินโดนีเซียแซงเร็วขึ้นไปอีก  และแม้ลาวกับกัมพูชาจะมีขนาดเล็กกว่าไทยมาก แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจก็สูงกว่าไทยมหาศาล  มีความเป็นไปได้ที่ไทยเราอาจมีสภาพทรุดโทรมทางเศรษฐกิจคล้ายเมียนมาในอนาคต และลดทอนความสำคัญลง ทั้งที่เป็นประเทศที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และอยู่ในจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ก็ตาม
    ไทยต้องเข้มแข็ง อย่าถดถอย สามัคคีกันบนพื้นฐานเสมอภาค สร้างสรรค์ ไม่ใช่บนพื้นฐานความไม่เท่าเทียม.