เกายังไม่ถูกที่คัน : กรณีนำเข้าแรงงานข้ามชาติด้วย MOU | วาระทีดีอาร์ไอ

เกายังไม่ถูกที่คัน : กรณีนำเข้าแรงงานข้ามชาติด้วย MOU | วาระทีดีอาร์ไอ

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เห็นชอบแนวทางการนำเข้าแรงงานข้ามชาติด้วยวิธี MOU ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ

แรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้เป็นแรงงานทักษะต่ำถึงปานกลางจากประเทศเพื่อนบ้าน)  ค่าใช้จ่ายสำหรับการนำเข้าด้วยวิธี MOU ที่กล่าวถึงนี้ไม่ว่านายจ้างจะไปหักคืนจากแรงงานหรือไม่นั้นอยู่ที่ประมาณ 11,490–22,040 บาทต่อแรงงานหนึ่งคน (ค่าใช้จ่ายนี้รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตรวจโควิดและกักตัวประมาณ 6,000-15,000 บาท)  
    นายจ้างที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่และจำเป็นต้องใช้แรงงานอย่างเร่งด่วนน่าจะพอยอมจ่ายได้ แต่นายจ้างที่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นห้างร้าน ร้านอาหาร หรือกิจการอื่น ๆ นั้นจะยอมหรือมีกำลังจ่ายหรือไม่  

ข่าวการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่ผ่านมาเป็นคำตอบต่อคำถามที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการอื่น ๆ ของทางการ เช่น การผ่อนผันให้แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทยแต่ใบอนุญาตหมดอายุหรือไม่มีใบอนุญาตสามารถมาขึ้นทะเบียนได้นั้นกลับเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน 
     เมื่อใดก็ตามที่ทางการไทยประกาศว่าจะผ่อนผันให้แรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตมาขึ้นทะเบียนได้ เมื่อนั้นการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ  
    มาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าแรงงานแบบ MOU หรือการผ่อนผันให้ขึ้นทะเบียน แม้ว่าเป็นมาตรการที่มีเจตนาดี แต่กลับทำให้แรงงานข้ามชาติที่แอบลักลอบเข้าเมืองนั้นมีเพิ่มมากขึ้น
    หากย้อนกลับไปพิจารณาดูนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของทางการไทยเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติไร้ทักษะหรือมีทักษะต่ำถึงปานกลางที่ผ่านมานั้นไม่พบว่าทางการไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ 

มาตรการที่เกิดขึ้นเป็นไปแบบเฉพาะกิจ เห็นได้จากการพิจารณาอนุมัติมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้มักเกิดขึ้นจากมติของที่ประชุมไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรีหรือ ศบค. (ในช่วงสถานการณ์โควิด)  เหตุผลประการสำคัญที่มักถูกกล่าวอ้างเป็นนัยว่าทางการไทยไม่สามารถมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ได้คือเรื่อง “ความมั่นคง” แต่จะเป็นความมั่นคงของใครนั้นทุกท่านคงทราบดี

   จนถึง ณ ขณะนี้คงไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ และอาจมีเพิ่มมากขึ้นจากสถานการณ์สังคมสูงวัยของไทย แต่จะไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้  
หลายท่านอาจแย้งว่าแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยไม่พัฒนาไปข้างหน้าเสียที แต่หากเราพิจารณาประเทศเพื่อนบ้านที่มีระดับการพัฒนาสูงกว่าเรา เช่น สิงคโปร์ และมาเลเซียต่างก็เปิดโอกาสให้แรงงานไร้ทักษะหรือทักษะต่ำเข้าไปทำงานในประเทศของเขา
    ในกรณีของสิงคโปร์นั้น การดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานของแรงงานเป็นหน้าที่ของนายจ้างซึ่งใบอนุญาตมีระยะเวลาประมาณ 2 ปีและสามารถขอต่อใบอนุญาตได้  ระยะเวลาในการออกใบอนุญาตคือ 1-3 สัปดาห์ (โดยประมาณ)  ค่าใช้จ่ายในการออกใบอนุญาตอยู่ที่ประมาณ 205 ดอลลาร์ หรือเกือบ 7,000 บาท (ขณะที่ค่าใช้จ่ายของไทยกรณีไม่มีโควิดอยู่ที่ประมาณ 7,000-8,500 บาทขึ้นอยู่กับการครอบคลุมของประกันสังคม)  สำหรับมาเลเซียนั้นมีนโยบายและมาตรการที่ไม่ต่างจากสิงคโปร์นัก 

เกายังไม่ถูกที่คัน : กรณีนำเข้าแรงงานข้ามชาติด้วย MOU | วาระทีดีอาร์ไอ
    เป็นที่น่าสนใจว่าสิงคโปร์และมาเลเซียนั้นเป็นปลายทางสำคัญของแรงงานข้ามชาติไร้ฝีมือจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียซึ่งลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย  
อย่างไรก็ตาม จำนวนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากประเทศต้นทางได้แก้ไขและปรับปรุงกระบวนการขอเอกสารให้สะดวกสบายยิ่งขึ้นและสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายให้การเป็นแรงงานถูกกฎหมายนั้นต่ำกว่าแรงงานผิดกฎหมาย 
    นอกจากนั้น สิงคโปร์และมาเลเซียยังได้กำหนดบทลงโทษของการเป็นแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายไว้อย่างชัดเจน การลักลอบเข้ามาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือลักลอบทำงานโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวนั้นมีบทลงโทษตั้งแต่การปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ต่างจากทางการไทยที่ใจดีมีเพียงจับและผลักดัน (นำไปส่ง) กลับที่ชายแดน
การที่ทางการไทยไม่มีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาตินั้นส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสุขภาพ  กรณีของเศรษฐกิจนั้นเป็นความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมที่ไม่พึ่งพิงแรงงานราคาถูก  
    ในส่วนของสังคมนั้นคือการผนวกเข้าสู่สังคมไทยของแรงงานข้ามชาติและลูกหลาน  ประเด็นการเมืองคือความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นประเทศต้นทางของแรงงานเหล่านี้  ส่วนเรื่องสุขภาพนั้นคือโรคอุบัติใหม่และเก่า  การปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน

เกายังไม่ถูกที่คัน : กรณีนำเข้าแรงงานข้ามชาติด้วย MOU | วาระทีดีอาร์ไอ

    ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะเบื้องต้นดังนี้ 
    1) ทางการไทยควรมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้และออกมาตรการให้สอดคล้องกัน เช่น ควรพิจารณาความต้องการแรงงานกลุ่มนี้ว่าเป็นอย่างไรและจำนวนเท่าใดโดยคำนึงถึงแนวทางการพัฒนาประเทศในระยะยาว  หลังจากนั้นควรปรับปรุงระบบการขอใบอนุญาตให้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก และควรจัดเก็บข้อมูลแรงงานอย่างเป็นระบบและใช้งานได้จริง  
    2) ทางการไทยควรหารืออย่างจริงจังกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นประเทศต้นทางของแรงงานกลุ่มนี้ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
    3) ทางการไทยควรมีบทลงโทษที่ชัดเจนและบังคับใช้อย่างจริงจัง ผ่านกระบวนการทางศาลเพื่อความโปร่งใสและยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย  บทลงโทษดังกล่าวควรครอบคลุมตัวแรงงาน นายจ้าง นายหน้า และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
    บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง “นโยบายและมาตรการเพื่อรองรับและป้องกันผลกระทบของ COVID 19 ต่อแรงงานและการจ้างงาน” สนับสนุนโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
บทความโดย :
    ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร  นักวิจัยที่ปรึกษารับเชิญ ทีมวิเคราะห์ตลาดแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยและ Senior Lecturer in Analytics/Statistics, Auckland University of Technology, New Zealand
    เกศินี ธารีสังข์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
    อลงกรณ์ ฉลาดสุข นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)