"ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" ชูเทคโนโลยีบริหารจัดการพลังงาน ตั้งเป้า Net Zero ปี 2030
"ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" รุกสนับสนุนกิจกรรมด้านความยั่งยืนร่วมกับองค์กรชั้นนำ นำร่องชูเทคโนโลยีบริหารจัดการพลังงาน ตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ปี 2025 และ Net Zero ปี 2030 ย้ำทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน พาประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค บริษัทนวัตกรรมระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน การจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน ได้เข้ามาช่วยให้ธุรกิจสามารถทำลายข้อจำกัดด้านการสร้างความยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมทางดิจิทัลและการจัดการพลังงาน และด้วยประสบการณ์ด้านการสร้างความยั่งยืนมากกว่า 15 ปี อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นองค์กรยั่งยืนระดับโลก ประจำปี 2564 โดย Corporate Knights สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการันตีได้ว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถช่วยให้ลูกค้าก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้ด้วยเทคโนโลยี เช่น การช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแบบจำลองสถานการณ์การใช้งานจริง ก่อนที่จะดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์หรือเครื่องจักรต่างๆ จริง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนมากที่สุด สร้างความสะดวกรวดเร็ว ลดต้นทุนการติดตั้ง สามารถวางแผนได้ตามนโยบายทางธุรกิจ และเร่งการผลิตสินค้าสู่ตลาดได้ สร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ช่วยลดการเกิดคาร์บอนในส่วนการดำเนินงานทั้งหมด
นายสเตฟาน นูสส์ (Stephane Nuss) ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาวและเมียนมา กล่าวว่า ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเรากำลังมาถึงจุดเปลี่ยน เห็นได้จากกรณีการเกิดน้ำท่วม การเกิดคลื่นความร้อนและการเกิดไฟป่าในยุโรป ซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในช่วง 1.5 องศา จึงต้องลดการปล่อยคาร์บอนลง 30% ในปี 2030 ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกต่างเห็นถึงความสำคัญ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050
ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นายสเตฟาน กล่าวว่า ทุกคนควรร่วมมือกัน โดยมี 3 แนวทางคือ 1. ลดใช้พลังงาน 2. ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากพลังงานทดแทน และ 3. การปรับใช้อย่างจริงจัง โดยใช้เทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน เป็นต้น
"ปัจจุบันมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 20% ของพลังงานผสม พลังงานที่กำจัดคาร์บอนได้ดีที่สุดมาจากแสงอาทิตย์ ลม น้ำ ชีวมวล และนิวเคลียร์ นอกจากนี้ การที่โลกกำลังกลายเป็นดิจิทัลมากขึ้น สะท้อนได้จากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น โซเชียลมีเดีย การซื้อขายออนไลน์ การชมภาพยนตร์ผ่านแอปพลิเคชัน การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งดิจิทัล ทำให้สิ่งที่มองไม่เห็น สามารถมองเห็นได้จากการแปลงข้อมูลต่างๆ ให้เป็นดิจิทัล ทำให้เราได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้งานในการวิเคราะห์เชิงลึก และนำความยั่งยืนมาสู่เราทั้งในปัจจุบัน และอนาคต"
นายสเตฟาน กล่าวต่อว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนานกว่า 40 ปี ในการมอบบริการและนวัตกรรมให้กับลูกค้าครอบคลุมทั้งระบบบ้าน อาคาร สำนักงาน โรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และข้อมูล เป็นต้น ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญ โดยมีทีมที่ปรึกษาดูแลลูกค้าโดยตรง เพื่อแนะนำทิศทางและแนวทางที่ลูกค้าต้องการ
"กรณีตัวอย่างในการลดคาร์บอน เราได้ร่วมกันทำงานกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA ซึ่งเป็นระบบยูทิลิตี้ที่ใหญ่ระดับประเทศ มีการปรับระบบไฟฟ้าให้เป็นแบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ เพื่อกระจายไฟฟ้า 20 ล้านจุด จากนั้นเราใช้ซอฟต์แวร์การบริหารจัดการระบบกริด เพื่อสามารถดูและคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ไฟได้ดียิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงาน และให้ความพร้อมเสมอในการใช้งาน ทั้งพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้า เป็นการเตรียมโครงข่ายไว้เพื่อรองรับอนาคต นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังได้ร่วมงานกับ East Water ซึ่งเป็นองค์กรใหญ่อีกองค์กรในประเทศไทย โดยได้ส่งมอบโซลูชันดิจิทัลที่สามารถปรับใช้กับระบบท่อส่งน้ำทั้งระบบ มีการใช้ไดรฟ์ ตัวควบคุมการหมุนของเครื่องจักรในสถานีสูบน้ำ พร้อมระบบที่สามารถแจ้งเตือนได้ว่าเกิดการสูญเสียน้ำขึ้นที่จุดไหน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียน้ำไปอย่างสิ้นเปลือง ทำให้เกิดความยั่งยืนในที่สุด"
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวแคมเปญ #Greenheroesforlife เพื่อเป็นกิจกรรมที่เป็นตัวเร่งในการสร้างการตระหนักรู้และความมีส่วนร่วมด้านความยั่งยืน โดยต้องการให้ทุกองค์กรช่วยกันพัฒนาและรักษาอุณหภูมิโลกเอาไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งได้การสนับสนุนและความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำและองค์กรต่างๆ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และแนวทางในการปฏิบัติ ดำเนินงาน ด้านความยั่งยืน เพื่อส่งต่อให้เกิดแรงบันดาลใจและเห็นจุดร่วมให้กับองค์กรในประเทศไทยในการสร้างความยั่งยืน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมให้คำปรึกษาในการปรับใช้ระบบการจัดการพลังงานและระบบดิจิทัลในการดำเนินงานขององค์กร โดยมีพนักงานมากกว่า 120,000 คนทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย มีพนักงานกว่า 1,500 คน มีโรงงานอยู่นิคมอุตสาหกรรมบางปู ปัจจุบันเป็นสมาร์ทแฟคตอรี และมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญครอบคลุมตั้งแต่โซลูชันสำหรับที่พักอาศัย ไอที ดาต้าเซ็นเตอร์ อาคารพาณิชย์ โรงงาน เครื่องจักร โครงข่ายไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐาน
"การร่วมกันต่อสู้กับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างความยั่งยืน นับเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจในปัจจุบัน และเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกระดับ ทุกองค์กร ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ จะเป็นองค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม หรือสถาบันต่างๆ เราก็สามารถมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวด้านความยั่งยืนร่วมกัน เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้และการปฏิบัติไปสู่ความยั่งยืนของโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เราได้รับการตอบรับที่ดีจากองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ในการมาร่วมเล่าถึง เป้าหมายด้านความยั่งยืนและวิธีดำเนินการขององค์กรนั้นๆ ในโครงการ Green Heroes For Life อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทรู ไอดีซี และองค์กรชั้นนำทั่วทุกสาขา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่แต่ละองค์กรมาร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์และความเป็นผู้นำในการก้าวสู่องค์กรที่ยั่งยืน"
หากองค์กรใดสนใจเข้าร่วมแบ่งปันเป้าหมายและเรื่องราวด้านความยั่งยืนผ่านโครงการ Green Heroes for Life สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่