หุ้นไทยจะสิ้นมนต์ขลังจริงหรือ? หลังเลือกตั้ง 2566

หุ้นไทยจะสิ้นมนต์ขลังจริงหรือ? หลังเลือกตั้ง 2566

จับตา "หุ้นไทย" หลังปรับตัวลดลงท่ามกลางความกังวลเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ กระทบต่อความเชื่อมั่น ตลาดหุ้นไทยจะไปในทิศทางไหนหลังจากนี้?

ปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญอีกปีหนึ่งของชาวไทย เนื่องจากเป็นปีที่มี การเลือกตั้ง โดยจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566 ซึ่งผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการก็ได้ออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาลและยังไม่รู้ว่าตัวแทนพรรคใดจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ใครจะได้นั่งเป็นประธานสภา คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าว ได้สะท้อนไปยัง ตลาดหุ้นไทย ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รับรู้ผลการเลือกตั้ง โดยนักลงทุนที่ทำการขายมากที่สุดคือ นักลงทุนต่างชาติ ที่พยายามลดความเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล จนทำให้นักลงทุนเริ่มออกมาตั้งคำถามว่า หลังเลือกตั้งปี 2566 หุ้นไทย สิ้นมนต์ขลังไปแล้วหรือไม่? ตลาดหุ้นไทยจะยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่?  

สถิติหลังวันเลือกตั้งในช่วง 3 เดือนแรก หุ้นไทยมักปรับตัวลงจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล

โดยปกติแล้ว ตลาดหุ้นมักจะสะท้อนความกังวลไปล่วงหน้า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเลือกตั้ง หากพิจารณาข้อมูลผลตอบแทนของ SET Index ย้อนหลังในแต่ละช่วงที่มีการเลือกตั้ง และนำผลตอบแทนมาคำนวณเฉลี่ยแบ่งตามช่วงเวลาพบว่า ภายหลังจากการเลือกตั้งผ่านไป 3 เดือน ตลาดหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนติดลบ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเป็นช่วงเวลานี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังไม่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งประธานสภา นายกรัฐมนตรี และยังไม่มีการพูดถึงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีงบประมาณถัดไป 

ดังนั้น การปรับตัวลงของ ตลาดหุ้นไทย ในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการลดความเสี่ยงนักลงทุนเพื่อรอคอยความชัดเจน แล้วจึงกลับมาพิจารณาเข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากรัฐบาลชุดใหม่ หรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลงแต่ราคาปรับตัวลงมามากกว่าความเป็นจริง ซึ่งสอดคล้องกับผลตอบแทน SET Index ในอดีตที่ผ่านมา จะเห็นว่าภายหลังจากผ่านวันเลือกตั้งไปแล้ว 4 เดือนเป็นต้นไป ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาเป็นบวกได้ และปรับเพิ่มขึ้นได้ดีหลังจากเลือกตั้งผ่านไปแล้ว 12 เดือน

หุ้นไทยจะสิ้นมนต์ขลังจริงหรือ? หลังเลือกตั้ง 2566

ภาพแสดงสถิติผลตอบแทนเฉลี่ยหุ้นไทย (SET Index) ภายหลังจากการเลือกตั้งในหลายครั้งที่ผ่านมา

นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกต่อเนื่อง คาดกลับเข้ามาซื้อในช่วงจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ

หากนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 2566 ถึง 31 พ.ค. 2566 เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติขายออกมานั้น มีมูลค่าอยู่ที่ 28,193.73 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% เมื่อเทียบกับปริมาณการขายจากต่างชาติทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นปี ถือว่าเป็นการขายออกที่ค่อนข้างเร็วในกรอบระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน โดยเราคาดว่านักลงทุนต่างชาติ น่าจะเริ่มกลับเข้ามาทยอยลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งในช่วงกลางเดือน ก.ค. - ต้น ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่คาดการณ์ว่าการโหวตเลือกนายกฯ จะสำเร็จลุล่วงแล้ว หุ้นกลุ่มที่คาดว่าได้ประโยชน์หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลคือ กลุ่มค้าปลีกและกลุ่มการเงิน ที่จะได้ประโยชน์โดยตรง จากการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ หรือแม้กระทั่งกลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงค่อนข้างแรง แต่ถ้าหากมองทั้งปียังคงได้รับปัจจัยหนุนจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่มีแนวโน้มเดินทางเข้ามามากขึ้น

หุ้นไทยจะสิ้นมนต์ขลังจริงหรือ? หลังเลือกตั้ง 2566

ภาพ Fund Flow นักลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ช่วง 15 พ.ค.- 31 พ.ค. 2566

ความกังวลในนโยบายต่างๆ การบังคับใช้จริง ยังต้องรอความชัดเจน คาดยังเปิดรับฟังความคิดเห็นและปรับเปลี่ยนได้

อีกหนึ่งสิ่งที่นักลงทุนมีความกังวลนั่นก็คือ นโยบายต่างๆ ที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงในช่วงที่ผ่านมา เช่น การปรับขึ้นค่าแรง ปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงาน หรือรัฐสวัสดิการ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น คงต้องมาพิจารณากันเป็นรายนโยบายว่า จะสามารถบังคับใช้ได้จริงหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่คาดว่าจะเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งอาจจะมีหลายข้อจำกัดที่ทำให้การผ่านกฎหมายเป็นไปได้ยากขึ้น หากอิงจากบทวิเคราะห์ของหลักทรัพย์บัวหลวง ได้มีการวิเคราะห์ถึงผลกระทบของนโยบายต่างๆ ที่มีผลต่อกำไรหลังหักภาษี (ปีบัญชี 2567) ของบริษัทจดทะเบียนใน SET Index โดยมีสมมุติฐานว่า มีการขึ้นค่าแรง ขึ้นเงินเดือน ลดค่าไฟฟ้า และมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่จากรัฐบาล ผลปรากฏว่ากลุ่ม ICT ได้รับผลกระทบในเชิงบวกมากที่สุด และกลุ่มท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ด้วยราคาที่ปรับลงมาเร็วภายหลังทราบผลการเลือกตั้ง ทำให้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปมากแล้ว ยกตัวอย่างในปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่มีการขึ้นค่าแรง กลับพบว่า กลุ่ม ICT ได้ประโยชน์ชัดเจนสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ โดยวัดจากรายได้ค่าบริการรายเดือนเฉลี่ยต่อหัว (ARPU) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

หุ้นไทยจะสิ้นมนต์ขลังจริงหรือ? หลังเลือกตั้ง 2566
 
ภาพแสดงข้อมูลการเลือกตั้งปี 2019 มีการปรับขึ้นค่าแรง และนโยบายประชานิยม ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อหัว (ARPU) กลุ่มสื่อสารปรับเพิ่มขึ้น

ท้ายที่สุด ไม่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะออกมาแบบไหน นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนต่อไปจะเป็นใคร ยังคงต้องรอกระบวนการในลำดับถัดไป แต่สำหรับ ตลาดหุ้นไทย เชื่อว่าการปรับตัวลงที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากพอสมควรแล้ว และหากดูสถิติผลตอบแทนของ SET Index ย้อนหลังไป 5 ปี (3 มิ.ย. 2561 ถึง 2 มิ.ย. 2566) มีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ไม่เคยเกิน -15% (ไม่นับช่วง COVID-19) โดยปัจจุบันผลขาดทุนสูงสุดเทียบกับราคาปัจจุบันอยู่ที่ -13.57% จากข้อมูลบ่งชี้ว่า Downside Risk ของตลาดหุ้นไทยเริ่มจำกัดมากขึ้น รวมถึงระดับ Valuation พิจารณาจาก FWD P/E (Bloomberg Est. Blended Forwards 12 months) ซื้อ-ขาย อยู่ที่ 15.07 เท่า ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวคือ นักท่องเที่ยว ที่ ททท. คาดว่ามีโอกาสจะเข้ามาแตะระดับ 30 ล้านคน ภายในปี 2566 ซึ่งจะช่วยหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของ GDP ไทย และช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี โดยเชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดนี้น่าจะพอคลายข้อสงสัยที่คาใจใครหลายคนได้บ้างว่า ตลาดหุ้นไทยจะยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่? หุ้นไทยจะสิ้นมนต์ขลังจริงหรือ? หลังเลือกตั้ง 2566

ที่มา : Bloomberg, TISCO Securities, Bualuang Securities, ททท. & SETSmart

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และเว็บไซต์ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds