งบดีแต่ราคาหุ้นลง! กลุ่ม Big Tech ยังน่าลงทุนหรือไม่
เจาะลึกผลการดำเนินงานของ 4 บริษัท ในกลุ่ม Big Tech มาดูกันว่า ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่ควรลงทุนหรือไม่?
ขณะนี้ได้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2023 ของเหล่าบริษัทฯ จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยในสัปดาห์นี้มีบริษัทฯ ราว 170 บริษัทฯ ในดัชนี S&P500 (41% ของ Market Cap) ที่จะรายงานผลการดำเนินงานออกมา โดยในบรรดาบริษัทฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้มี 4 ใน 7 ของบริษัทฯ ที่อยู่ในกลุ่ม Magnificent Seven ซึ่งเป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแรงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ต้นปีและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นสหรัฐอย่างมาก โดยจะมาเจาะลึกถึงผลการดำเนินงานของ 4 บริษัท ได้แก่ Alphabet, Amazon, Microsoft และ Meta
ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของ 4 ใน 7 บริษัทที่อยู่ในกลุ่ม Magnificent Seven
ที่มา : Bloomberg
Alphabet รายงานผลการดำเนินงานดีกว่าคาด แต่รายได้จาก Cloud ต่ำกว่าคาด
Alphabet บริษัทฯ แม่ของ Google รายงานรายได้เพิ่มขึ้น 11% YoY อยู่ที่ 76.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าคาดที่ 75.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสที่รายได้ของบริษัทฯ กลับมาเติบโตได้ในระดับตัวเลข 2 หลัก ด้านกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 46% YoY อยู่ที่ 1.55 ดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าคาดที่ 1.45 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยรายได้จากธุรกิจโฆษณา (Google Search, YouTube Ads และ Google Network) ซึ่งคิดเป็นราว 77% รายได้ทั้งหมด ยังคงเพิ่มขึ้น 9.4% YoY รับปัจจัยหนุนจากฝั่ง Google Search ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นตามยอดผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นหลังมีการผนวกระบบปัญญาประดิษฐ์ "DeepMind" เข้ากับระบบ นอกจากนี้รายได้จากฝั่ง YouTube Ads ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของ YouTube Shorts ซึ่งเป็นวิดีโอในรูปแบบสั้นลักษณะเดียวกับ TikTok โดยปัจจุบันมีจำนวนยอดรับชมต่อวันสูงถึง 70 ล้านครั้ง
ส่วนรายได้จากธุรกิจ Cloud ก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 22.5% YoY แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ทำให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาหลังงบออก เนื่องจากมองว่าธุรกิจ Cloud ถือเป็นธุรกิจที่สำคัญที่บริษัทฯ ลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Amazon Web Services และ Microsoft Azure
ถึงแม้รายได้ออกมาจะต่ำกว่าคาด แต่โดยภาพรวมผลการดำเนินงานของ Alphabet ยังคงออกมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและดีกว่าคาด สะท้อนว่าระบบ Search Engine ของบริษัทฯ ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ใช้งาน แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันพัฒนา AI ที่เข้มข้น
Amazon ประกาศงบขยายตัว นักลงทุนต่างจับตาธุรกิจ Cloud ที่ยังคงเติบโตสูงกว่าคาด
Amazon รายงานรายได้เพิ่มขึ้น 13% YoY อยู่ที่ 143.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าที่คาดที่ 141.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในหน่วยค้าปลีก ด้านกำไรเพิ่มขึ้น 243% YoY อยู่ที่ 0.94 ดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าที่คาดที่ 0.58 ดอลลาร์สหรัฐ จากการลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญของบริษัทฯ
โดยรายได้ในส่วนค้าปลีกเพิ่มขึ้นตามยอดขายในฝั่งสหรัฐ และต่างประเทศหลังบริษัทฯ มีการอัปเกรดระบบ Prime ซึ่งช่วยให้สมาชิกมีสิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มขึ้นและใช้งานได้สะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงมีการแบ่งเขตการค้าปลีกใหม่ในสหรัฐ ทำให้ยอดขายและค่าโฆษณาในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในช่วง Prime Day ด้านรายได้จากธุรกิจ Cloud Services อย่าง AWS เริ่มฟื้นตัวและมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ แต่ยังคงต่ำกว่าที่ตลาดคาด
ด้านกำไรของบริษัทฯ เติบโตอย่างโดดเด่นจากการคุมต้นทุนต่างๆ ของบริษัทฯ โดยค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาดของ Amazon ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2015 และค่าใช้จ่ายในด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเซิร์ฟเวอร์ AWS เพิ่มขึ้นเพียง 8.8% YoY (Prev. 30+%)
ด้านผู้บริหารของ Amazon ได้ออกมาให้มุมมองเชิงบวกต่อการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจ โดยมองว่าในปีนี้จะมียอดผู้สมัคร Prime เพิ่มขึ้นจากการเปิดตัว Feature ใหม่ๆ และธุรกิจ AWS น่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และในระยะข้างหน้าจะมีการเติบโตอย่างมั่นคงจากการนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ นอกจาก 2 ธุรกิจข้างต้นแล้วผู้บริหาร Amazon ยังย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนในนวัตกรรม Generative AI ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้มีผู้ใช้งานของ Amazon เข้าถึงระบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
Microsoft ประกาศงบขยายตัว นักลงทุนต่างจับตาธุรกิจ Cloud ที่ยังคงเติบโตสูงกว่าคาด
Microsoft รายงานรายได้เพิ่มขึ้น 13% YoY อยู่ที่ 56.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าคาดที่ 54.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 17% YoY อยู่ที่ 2.99 ดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าคาดที่ 2.65 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น มาจากรายได้ธุรกิจบริการ Cloud (Azure, SQL Server, Windows Server และอื่นๆ) ซึ่งคิดเป็นราว 43% รายได้ทั้งหมด เติบโตขึ้น 19% YoY และหากมองที่รายได้ Microsoft Azure เพียงอย่างเดียวจะมีการเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษที่ 29% YoY เนื่องจากลูกค้าให้ความสนใจกับบริการ Cloud ที่พ่วง AI อย่าง Azure OpenAI Service มากขึ้น ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็น 18,000 ราย จากเดิมที่ 11,000 ราย
ในส่วนรายได้ธุรกิจ Productivity and Business Processes เพิ่มขึ้นราว 13% YoY รับปัจจัยหนุนจากยอดการสมัคร Microsoft 365 สำหรับกลุ่มธุรกิจและ Dynamics 365 ที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมียอดผู้ใช้งาน Microsoft Teams มากกว่า 320 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 300 ล้านราย เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ด้านรายได้อื่นๆ ทรงตัวอยู่ในกรอบ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากยอดขาย Devices ที่ลดลง 22% YoY จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว ขณะที่รายได้เกมและโฆษณายังคงเติบโต
โดยบริษัทฯ มองว่าในระยะข้างหน้ารายได้ธุรกิจ Cloud ที่มีการผนวกระบบ AI จะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2024 จากเครื่องมือที่ครบสมบูรณ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้งาน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวส่วนเสริม Microsoft 365 Copilot AI ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานระบบของสมาชิกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการเข้าซื้อ Activision Blizzard ก็จะทำให้บริษัทฯ มีช่องทางการขยายธุรกิจเกมได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนรายได้อีกทางแก่บริษัทฯ
Meta ประกาศงบขยายตัว หนุนจากรายได้โฆษณา แต่ CFO ให้มุมมองเชิงลบในระยะข้างหน้า
Meta รายงานรายได้เพิ่มขึ้น 23% YoY อยู่ที่ 34.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าที่คาดที่ 33.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของรายได้โฆษณา ด้านกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 168% YoY อยู่ที่ 4.39 ดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าที่คาดที่ 3.63 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยรายได้หลักจากรายได้โฆษณากลับมาเติบโต หลังร้านค้าต่างๆ เริ่มปรับตัวเข้ากับการทำโฆษณาสั้นผ่านระบบ Reels ซึ่งเป็นโปรแกรมวิดีโอสั้นในแอปฯ ที่ผู้ใช้งานนิยม หลังจากก่อนหน้านี้ที่ทางร้านค้ามีปัญหาในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวของระบบ iOS นับตั้งแต่ปี 2021 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาประยุกต์ใช้กับ App ซึ่งช่วยให้ผู้ขายสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้านกำไรเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จากการที่บริษัทมีการควบคุมต้นทุน
แม้ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสล่าสุดจะออกมาดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงหลัง CFO ของบริษัทฯ ก็ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนด้านปัจจัยมหภาคที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลประกอบการของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแผนการใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในปี 2024 รวมถึงคาดว่าผลการดำเนินงานของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยี AR และ VR อาจจะออกมาขาดทุนมากกว่าปีนี้
โดยภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่ม Mega-Cap Tech ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ แต่ราคาหุ้นเหล่านี้ก็ปรับตัวลงสวนทางจากความผิดหวังต่อรายได้ธุรกิจ Cloud ของ Alphabet ที่ออกมาต่ำคาด และมุมมองเชิงลบจาก CFO
อย่างไรก็ดี มองว่าการเทขายหุ้นกลุ่ม Tech ขนาดใหญ่ในรอบนี้ส่วนหนึ่งเป็นการขายเพื่อทำกำไร เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นนับตั้งแต่ต้นปี และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการที่นักลงทุนยังคงกังวลต่อความไม่แน่นอนของสงคราม และ Bond Yield สหรัฐ ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานที่พิจารณาได้จากรายได้และกำไร ยังอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ดังนั้น หากปัจจัยกดดันเริ่มเบาบางลง เชื่อว่าหุ้นกลุ่ม Tech ขนาดใหญ่ในสหรัฐจะยังคงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่นักลงทุนจะกลับเข้ามาสะสมเพื่อลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว
ที่มา: Bloomberg & company presentation
ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และเว็บไซต์ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds