'ชไนเดอร์ อิเล็คทริค' เผยผลการสำรวจความยั่งยืนประจำปี 2023

'ชไนเดอร์ อิเล็คทริค' เผยผลการสำรวจความยั่งยืนประจำปี 2023

"ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" เผยผลการสำรวจความยั่งยืนประจำปี พบว่า 94% ของบริษัทในเอเชีย กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ 57% เป็นเพียงเป้าหมายระยะสั้น ครอบคลุมระยะเวลาแค่ 4 ปี หรือน้อยกว่านั้น

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผย ผลการสำรวจความยั่งยืนประจำปีของชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric’s Annual Sustainability Survey) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุถึงช่องว่างระหว่างความตั้งมั่นและการดำเนินการของบริษัทต่างๆ ในเรื่องของ ความยั่งยืน โดยพิจารณาถึงช่องว่างระหว่างความมุ่งมั่นของเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่องค์กรได้มีการประกาศ กับการลงทุนหรือการดำเนินการที่จับต้องได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยผลสำรวจพบว่า 94% ของบริษัทในเอเชียมีการกำหนดเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายด้านความยั่งยืน แต่มีน้อยกว่าครึ่ง (4 ใน 10) ที่ดำเนินการหรือกำลังฝึกฝนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุม

การสำรวจยังพบอีกว่า ผู้นำธุรกิจเกือบ 60% มองว่า ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับสูง ทั้งสำหรับตัวองค์กรเองและสำหรับประเทศ กระนั้นยังมีบริษัทเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น (54%) ที่มีแผนกหรือทีมที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนเป้าหมายและกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน

การสำรวจเป้าหมายด้านความยั่งยืนในปีนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีการพูดคุยกับผู้นำจำนวน 4,500 ราย ใน 9 ประเทศ เพื่อรวบรวมมุมมองของผู้นำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียเกี่ยวกับ ความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการดำเนินการสำรวจกลุ่มตัวอย่างร่วมกับ Milieu Insight ซึ่งเป็นพันธมิตร ด้วยการขอให้ผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงในภาคเอกชนที่เข้าร่วมการสำรวจและตอบคำถาม 30 ข้อ เกี่ยวกับความยั่งยืน รวมไปถึงผลกระทบต่อธุรกิจของตนในตลาดต่างๆ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และไทย

ความตั้งใจและการกระทำ : เกิดช่องว่างระหว่างความตั้งใจกับการดำเนินการ (Green Action Gap)

การสำรวจมุ่งเน้นที่การตรวจสอบ "Green Action Gap" ขององค์กรในแต่ละประเทศ โดย "ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" ได้กำหนดตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินช่องว่างระหว่างบริษัทที่อ้างว่ามีเป้าหมายและจุดมุ่งหมายด้านความยั่งยืน รวมถึงบริษัทที่มีกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมและกำลังดำเนินการ

สำหรับ Green Action Gap ระดับภูมิภาคอยู่ที่ 50% แสดงให้เห็นถึงความความแตกต่างระหว่างบริษัทที่มีการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ 94% และมีเพียง 44% ที่ดำเนินการตามแผนความยั่งยืนของตนเอง 

นอกจากนี้ยังพบว่า หลายบริษัทในเกาหลีใต้ สะท้อนให้เห็นช่องว่างการดำเนินการที่ใหญ่ที่สุดคือ 58% ตามด้วยเวียดนาม 52% ขณะที่ไต้หวันมีช่องว่างน้อยที่สุดในภูมิภาคที่ 37%

สำหรับไทย บริษัทที่มีการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนสูงถึง 98% และมีบริษัทที่ดำเนินการตามแผนความยั่งยืน 53% ทำให้มี Green Action Gap อยู่ที่ 45% 

\'ชไนเดอร์ อิเล็คทริค\' เผยผลการสำรวจความยั่งยืนประจำปี 2023

ข้อมูลเฉพาะของตลาด

แรงจูงใจเพื่อโลก หรือกำไร?

จากรายงานพบว่า เหตุผลหลักที่องค์กรทั่วภูมิภาคต่างเดินหน้าสู่การสร้างความยั่งยืน นั่นก็คือ เพื่อเพิ่มนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน (39%) เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ (37%) นอกจากนี้ยังพบว่าประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันว่า ความยั่งยืน มีส่วนช่วยสร้างการเติบโตของธุรกิจ ประเด็นเรื่องการจัดการความเสี่ยง สร้างชื่อเสียง และสร้างโอกาสในการประหยัดต้นทุน ถือเป็นปัจจัยจูงใจ 5 อันดับแรกที่บริษัทพิจารณาเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ความยั่งยืน

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ในภูมิภาค (โดยเฉลี่ย 82%) เชื่อว่าการที่รัฐบาลให้สิ่งจูงใจมากขึ้นนั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าการบังคับใช้บทลงโทษ ในการส่งเสริมให้ภาคเอกชนปฏิบัติตามเป้าหมายความยั่งยืนของรัฐบาล

กำหนดเส้นตายเป็นปัจจัยผลักดัน

การสำรวจยังเผยด้วยว่า แม้บริษัทส่วนใหญ่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ 57% ของเป้าหมายเหล่านี้เป็นเป้าหมายระยะสั้น ครอบคลุมระยะเวลา 4 ปี หรือน้อยกว่านั้น

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า บริษัทต่างๆ อาจมีความมั่นใจมากขึ้นในการกำหนดเป้าหมายที่มีรายละเอียดสำหรับอนาคตอันใกล้ แต่บริษัทเหล่านี้ต่างต้องพยายามอย่างมากในการเปลี่ยนจากแผนงานด้านความยั่งยืนในภาพใหญ่ ให้เป็นการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อใกล้ถึงเวลา "เส้นตาย" ที่ต้องบรรลุเป้าหมายเหล่านี้

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า เราได้รับแรงสนับสนุนจากการที่บริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมีการรับรู้และมีความมุ่งมั่นในการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามผลการสำรวจเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างความตั้งใจและการดำเนินการเผยให้เห็นว่า ยังมีงานที่ต้องทำอยู่ สิ่งสำคัญสำหรับบริษัทต่างๆ ในเอเชียก็คือ การแปลงแรงบันดาลใจด้านความยั่งยืนให้เป็นการดำเนินการที่จับต้องได้ เพื่อจัดการกับความท้าทายในการดำเนินงานและการนำกลยุทธ์ระยะยาวมาใช้ในการวางแผนเพื่อเดินหน้าจัดการกับความจำเป็นที่เร่งด่วนเพื่อสร้างความยั่งยืน ธุรกิจต่างๆ จะต้องใช้บทบาทของความเป็นผู้นำเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ร่วมมือกับรัฐบาล และใช้ประโยชน์จากโซลูชันนวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับภูมิภาคและโลกของเรา

ประเด็นหลักที่ได้จากการสำรวจ

ระบบนิเวศในปัจจุบันมีลักษณะอย่างไร?

  • 94% ระบุว่า บริษัทตนได้กำหนดเป้าหมายหรือเป้าประสงค์ในการสร้างความยั่งยืนแล้ว
  • น้อยกว่าครึ่ง (4 ใน 10) ได้ดำเนินการหรือกำลังปฏิบัติตามกลยุทธ์ ความยั่งยืน ที่ครอบคลุม
  • 57% ของเป้าหมายเหล่านี้เป็นเป้าหมายระยะสั้น ครอบคลุมระยะเวลา 4 ปี หรือน้อยกว่านั้น
  • ผู้นำธุรกิจเกือบ 60% รู้สึกว่าบริษัทและประเทศของตนมองว่า ความยั่งยืน "มีความสำคัญระดับสูง"
  • 54% มีแผนกความยั่งยืนในองค์กรโดยเฉพาะ

เหตุใดบริษัทในเอเชียจึงลงทุนเรื่องความยั่งยืน?

  • ปัจจัยขับเคลื่อน 5 อันดับแรก ที่ทำให้บริษัทในเอเชียแปซิฟิกมุ่งหน้าสู่การสร้างความยั่งยืนคือ เพื่อสร้างนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน (39%) เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ (37%) จัดการความเสี่ยง (32%) สร้างการรับรู้/ชื่อเสียงของแบรนด์ (31%) และผลประโยชน์ทางการเงิน (31%) เป็นตัวขับเคลื่อน 

บริษัทต่างๆ จะเอาชนะอุปสรรคเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

  • อุปสรรคสำคัญอันดับต้นในการลงทุนด้านความยั่งยืนขององค์กรคือ แรงจูงใจไม่มากพอ (47%) ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ/นโยบาย (47%) และปัญหาของระบบราชการ (43%)
  • บริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ยกเว้นสิงคโปร์) ค่อนข้างพูดถึงปัญหาของระบบราชการกันมาก
  • บริษัทในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีแนวโน้มสูงที่เชื่อว่าภาคเอกชนควรลงทุนในความยั่งยืนมากขึ้น คิดเป็น 22% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระดับภูมิภาคที่ 12% นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มต่ำมากที่จะรายงานถึงอุปสรรคในการลงทุนเหล่านั้น

โซลูชัน?

  • 94% ของผู้นำธุรกิจยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นกุญแจสำคัญของกลยุทธ์ความยั่งยืนขององค์กร
  • 92% ยอมรับว่าประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขององค์กร
  • 94% ยอมรับว่าการมีกลยุทธ์ความยั่งยืน ช่วยดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถเอาไว้ได้ 

ใครควรรับผิดชอบ?

ผู้นำธุรกิจมากกว่าครึ่ง (56%) เชื่อว่า ภาคเอกชนควรทำหน้าที่เป็นผู้นำในการสร้างความยั่งยืน ตามด้วยรัฐบาลแห่งชาติที่ 52%