ปี66สอท.คิกออฟเริ่มใช้งาน แพลตฟอร์ม FTIX เพื่ออุตฯที่ยั่งยืน
“Net Zero” คือ เป้าหมายของพยายามเพื่อสร้างความยั่งยืนขององค์กรต่างๆ ในส่วนของภาคเอกชนได้สร้าง แพลตฟอร์ม เพื่อทำให้ความพยายามเป็นการลงมือปฎิบัติ
FTI: CC /RE/RECxPlatform (FTIX) คือแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตแพลตฟอร์มแรกของโลกซึ่งมีระบบรองรับธุรกรรมการซื้อขายพลังงานสะอาด การออกใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (RE/CC/REC) ทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ แพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) และองค์กรเอกชนเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทั่วโลกสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อทดแทนพลังงานเดิมซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สอท. กล่าวว่า แพลตฟอร์ม FTIX จะเปิดโครงการ Sandbox วันที่ 12 ม.ค. 2566 โดยเป็นต้นแบบเริ่มจากกลุ่มอุตสาหกรรม 80 บริษัท อุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ พร้อมเริ่มการเทรดคาร์บอนและขยายให้เต็มรูปแบบคาดว่าอีก 2 ปีข้างหน้าจะพัฒนาเสร็จ ซึ่งในช่วงนี้อยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศและพัฒนาระบบเพราะเป็นแพลตฟอร์มที่ใหม่มาก
โดย ศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิตของ ส.อ.ท. ได้พัฒนาและบริหารจัดการแพลตฟอร์มให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) นอกจากนี้ ยังมีการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ที่รอการเปิดตัวแต่อยู่ระหว่างรอรัฐบาลอนุมัติในอนาคตและจะเปิดให้ภาคการท่องเที่ยว และภาคการบริการมีส่วนร่วมในอนาคตอีกด้วย
สำหรับการหมุนเวียนพลังงานสะอาดเพื่อตอบสนองความต้องการการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% (RE100) รวมถึงการซื้อขาย ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือ REC อีกด้วย โดย ส.อ.ท. ได้มีแพลตฟอร์ม FTI คือ CC , RE , REC X Platform FTIX เข้าร่วมในโครงการ ERC Sandbox 2 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อทดสอบระบบ ของตลาดการซื้อขายแลกเปลี่ยนให้มีความโปร่งใสและเชื่อถือได้ โดยที่อุตสาหกรรมทุกขนาดทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่
สมโภชน์ อาหุนัย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และประธานสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาภูมิอากาศ (สอท.) กล่าว่า สอท.ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา คือ สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งใน การช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการ และช่วยขับเคลื่อนการนำนโยบายของภาครัฐไปสู่การปฏิบัติให้ บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปี พ.ศ. 2608 ของประเทศ
คาร์บอนเครดิตเป็นกลไกการตลาดที่สำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างแรงจูงใจและเป็นทางเลือกให้ ผู้ประกอบการในการลดก๊าซเรือนกระจก ส.อ.ท. มีการดำเนินงานร่วมกับอบก.ในการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขาย แลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินกิจกรรมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
สอดคล้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ซึ่งร่วมผลักดันเป้าหมายประเทศไทยที่จะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ.2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 ทำให้ประเทศไทยต้องปรับปรุง “ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย” หรือ LT-LEDS ซึ่งจำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนเพื่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และขณะนี้ทส. อยู่ระหว่างการจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (The 2nd updated NDC) ที่ 40% ในปี พ.ศ. 2573 ประเทศสามารถดำเนินการได้เอง 30% และการดำเนินงานที่ต้องได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากต่างประเทศอีก 10%
สำหรับแนวทางและมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ อย่างการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (RE) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) มาตรการทดแทนปูนเม็ด (ปูนไฮดรอลิก) และการปรับเปลี่ยนสารทำความเย็น การปรับปรุงการทำนาข้าวเพื่อลดการปล่อยมีเทน การจัดการขยะและน้ำเสียชุมชน รวมถึงน้ำเสียอุตสาหกรรม การผลิตพลังงานจากขยะ (Waste to Energy-WTE)
นอกจากนี้ ยังมีการป้องกันการบุกรุกและทำลายป่า ผ่านการขับเคลื่อนการดำเนินงาน 6 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ 1. ด้านนโยบาย 2. ด้านเทคโนโลยี 3. ด้านการเงินและการลงทุน 4.ด้านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต 5. ด้านการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือน กระจก และ 6.ด้านกฎหมาย ที่สำคัญต่อการลดคาร์บอน
การลดคาร์บอนหรือก๊าซที่ก่อเรือนกระจกของภาคธุรกิจอาจยังอยู่ในระดับเริ่มต้นให้ความสำคัญ การมีพื้นที่ส่วนกลางที่จะเกิดการซื้อขายก๊าซเรือนกระจก พร้อมทำความเข้าใจกับเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่มีกติกาเหมือนกับเศรษฐกิจปัจจุบันที่ว่า รู้ก่อนเข้าใจก่อน ก็เข้าถึงโอกาสก่อน