คต. จัดทัพลุยสวนทุเรียนภาคตะวันออก ดันผู้ประกอบการทุเรียนไทย
กรมการค้าต่างประเทศลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ทางการค้าและหารือผู้ประกอบการทุเรียนไทย พร้อมส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ FTA ลดต้นทุนและสร้างแต้มต่อทางการค้า รวมถึงเร่งเดินหน้าแก้ปัญหาการสวมสิทธิส่งออกทุเรียนไทย เพื่อรักษาและปกป้องผลประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการ
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 กรมฯ จัดคณะลงพื้นที่ประชุมหารือและติดตามสถานการณ์ทางการค้า สำหรับการส่งออกสินค้าทุเรียนไปประเทศจีนให้แก่ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการสวนทุเรียน ณ จังหวัดระยอง รวมถึงชี้แจงแนวทางการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้กรอบความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) เพื่อลดต้นทุนและสร้างแต้มต่อทางการค้า
ปัจจุบันทุเรียนไทยได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดจีน โดยปี 2565 ไทยส่งออกทุเรียนไปจีนเป็นปริมาณ 791,787.08 ตัน คิดเป็นมูลค่า 3,097.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และในไตรมาสแรกของปี 66 (มกราคม - มีนาคม) ไทยส่งออกทุเรียนไปจีนเป็นปริมาณ 70,728.81 ตัน เพิ่มขึ้น 224.18% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (21,540.37 ตัน) คิดเป็นมูลค่า 346.66 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 228.35% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (106.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และคาดว่าทั้งปี 2566 ไทยจะมีผลผลิตทุเรียน (ภาคตะวันออก) ออกสู่ตลาดในปริมาณ 782,942 ตัน ซึ่งคาดว่าจะส่งออกได้ 715,990 ตัน คิดเป็น 91.44%
การส่งออกทุเรียนสดไปจีนจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า (0%) ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียน – จีน (ACFTA) และกรอบความตกลง RCEP ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องการใช้สิทธิ FTA ส่งออกทุเรียนไปจีนจะต้องขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ากับกรมการค้าต่างประเทศ โดยกรอบความตกลง ACFTA ใช้ Form E , กรอบความตกลง RCEP ใช้ Form RCEP นอกจากนี้ ผู้ส่งออกจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของกรมวิชาการเกษตร และสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) คือ ผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีนต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phyto Certificate) กำกับไปด้วยทุกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นผลไม้มาจากแปลงปลูกที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP และโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP ซึ่งในขั้นตอนนี้ กรมวิชาการเกษตรได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการขึ้นทะเบียนสวนผลไม้กับโรงคัดบรรจุกับ GACC เพื่อยืนยันความถูกต้องแหล่งที่มาของผลไม้
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา กรมฯ ได้พบปัญหาว่าสินค้าทุเรียนมีการนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อส่งออกไปจีน โดยใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form E ปลอม เพื่อขอรับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ดังนั้น กรมฯ จึงได้กำหนดมาตรการ และแนวปฏิบัติในการออกหนังสือรับรอง Form E โดยกำหนดให้ทุเรียนสด และทุเรียนแช่แข็งอยู่ในบัญชีสินค้าเฝ้าระวัง (Watch – List) ของกรมฯ อีกทั้งเพิ่มความเข้มงวด และรัดกุมในการยื่นขอ Form E โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องระบุข้อมูลเพิ่มเติมนอกจากเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการขอ Form E ตามประกาศกรมฯ ได้แก่ ข้อความยืนยันแหล่งที่มาของสินค้า วันที่ส่งออก ด่านที่ส่งออกของไทย ประเภทยานพาหนะ และชื่อยานพาหนะ พร้อมให้ผู้ส่งออกแนบเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่ หนังสือรับรองว่าเป็นสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในไทย และผลิตถูกต้องตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศผู้ให้สิทธิ (หนังสือรับรองกรม) และเอกสารหลักฐานอื่นที่แสดงการได้มาซึ่งสินค้าที่สามารถตรวจสอบและเชื่อถือได้
นอกจากนี้ กรมฯ ได้ตระหนักถึงปัญหาการปลอมแปลงหนังสือรับรองเป็นอย่างมาก จึงได้ดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตั้งแต่ต้นทาง โดยการพัฒนาระบบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หรือที่เรียกว่า ระบบ DFT SMART Certificate of Origin (DFT SMART C/O) ซึ่งจะช่วยให้การปลอมแปลงหนังสือรับรองฯ ทำได้ยากขึ้น และยังได้เร่งแก้ปัญหาโดยการประสานงานกับศุลกากรปลายทางอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศุลกากรจีนที่พบปัญหาการปลอมแปลงเอกสารหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าทุเรียน เพื่อระงับหนังสือรับรองฯ ปลอม และไม่ให้กระทบการส่งออกของผู้ส่งออกที่ใช้หนังสือรับรองฯ จริง และกรมฯ ยังมีแผนที่จะทำความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบการออกหนังสือรับรองฯ ระหว่างกันต่อไปในอนาคตอีกด้วย