'เคซีจี' ปักธงโตแกร่งสู่องค์กร 100 ปี ต่อยอดรากฐานธุรกิจครอบครัวสู่มหาชน
บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เดินหน้าต่อยอดธุรกิจสู่บริษัทมหาชน มุ่งเสริมทัพผสานการทำงานร่วมกับมืออาชีพ พร้อมปักธงเติบโตแกร่งสู่องค์กร 100 ปี
ในตลาดผลิตภัณฑ์เนย ชีส วัตถุดิบสำหรับทำเบเกอรี ขนมปัง เค้กต่างๆ "เคซีจี" คือหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่ป้อนให้กับลูกค้าทั้งรายย่อยและกลุ่มบริการร้านอาหารหรือฟู้ดเซอร์วิส
65 ปี คือเส้นทางเติบโตของบริษัทฯ จากยุคผู้ก่อตั้งของ 3 พี่น้อง ได้แก่ วิจัย วิภาวัฒนกุล นันทนา กุศลส่งเสริม และตง ธีระนุสรณ์กิจ มาสู่เจนเนอเรชัน 2 และปีนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญกับภารกิจนำกิจการครอบครัวแปลงสู่การเป็นบริษัทมหาชนด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ฉายภาพย่างก้าวขององค์กร เริ่มต้นกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด "กิมจั๊วพาณิชย์" เมื่อปี 2501 ด้วยการนำเข้าวัตถุดิบเนย ชีส วัตถุดิบในการทำเบเกอรี ตลอดจนอาหารตะวันตก โดยอาศัยการมองการณ์ไกลและความเชี่ยวชาญจากพี่ชายคือ "วิจัย" เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจครั้งสำคัญ
ตง เผยต่อว่า การนำเข้าเนย ชีส จากต่างประเทศช่วง 10 ปีแรก ยังทำตลาดเฉพาะ เจาะโรงแรม ร้านอาหาร ตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรต่างประเทศที่อยู่ในไทย สร้างการเติบโตยอดขาย "ทีละขั้น" หรือ Step by Step เมื่อสั่งสมประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และมองเห็นนโยบายการขับเคลื่อนประเทศของภาครัฐที่พยายามหนุนไทยให้มีฐานผลิต สร้างโรงงานเพื่อเกิดการจ้างงาน บริษัทฯ จึงตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตเนยป้อนตลาดในประเทศ
"การมองทิศทางตลาดในอนาคต นำไปสู่การตั้งโรงงาน เพราะทำให้เกิดความสะดวกในด้านการขนส่ง ต้นทุนต่ำลง เพื่อจำหน่ายสินค้าราคาต่ำลง กระตุ้นการบริโภคเพิ่มขึ้น และยังได้องค์ความรู้ หรือ Know How จากพันธมิตรสู่กระบวนการผลิตสินค้าด้วย"
ตง กล่าวต่อไปว่า องค์กรเติบโตอย่างมั่นคง แต่บริษัทฯ ยังเผชิญจุดเปลี่ยน หนึ่งในนั้นคือ ชื่อใหม่ "เคซีจี คอร์ปอเรชั่น" รวมถึงการขยับขยายอาณาจักร เติมพอร์ตสินค้า จากเนยและชีสแบรนด์ "Allowrie" มีคุกกี้แบรนด์ "Imperial" ปัจจุบันความแข็งแกร่งของกลุ่มสินค้ายังแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น เนย ชีส วิปปิ้งครีม ครีมชีส ฯลฯ
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี เช่น ส่วนผสมของอาหาร ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เข้มข้น อุปกรณ์ในการทำเบเกอรีและอุปกรณ์ประกอบอาหาร
- กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต โดยมีพอร์ตสินค้ารวมทั้งหมดกว่า 2,100 รายการ (SKU’s)
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าเรือธง "เคซีจี" ยังครองบัลลังก์เบอร์หนึ่งอย่างแข็งแกร่ง เช่น เนย ส่วนแบ่งตลาด 55.0% และชีส ส่วนแบ่งตลาด 31.6% ส่วนในปี 2566 เมื่อบริษัทฯ จะเข้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ การระดมทุนขยายธุรกิจเป็นวัตถุประสงค์หนึ่ง แต่บริษัทฯ ยังมองประโยชน์ด้านธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ที่ตรวจสอบได้ทั้งภายในและภายนอกองค์กรด้วย ส่วนการดำเนินธุรกิจจะตระหนักถึงผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ยิ่งขึ้น
"รากฐานเคซีจี สร้างจากธุรกิจครอบครัว วันนี้การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสร้างความเชื่อมั่นเพิ่ม และเราบอกลูกหลานว่าจากนี้ไปเรามีเจ้าของร่วมคือผู้ถือหุ้น การทำงานทุกอย่างต้องมีระบบ ความโปร่งใส เมื่อเติบโตไม่อิ่มคนเดียว ต้องรับผิดชอบ ดูแลสังคม ดินฟ้าอากาศด้วย"
จากจุดสตาร์ทธุรกิจไม่ถึง 10 คน ณ สิ้นปี 2565 มีพนักงาน 1,911 ชีวิต และไตรมาส 1/66 กลุ่มบริษัทเคซีจี มีพนักงาน 1,951 ชีวิต และสร้างรายได้เกินกว่า 6,000 ล้านบาท การก้าวสู่ทศวรรษที่ 7 "ตง" มองบันไดแต่ละขั้นสั้นกว่าเดิม เพื่อปรับแผน วางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด และเทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากความท้าทายในอนาคต โจทย์ยากสุดคือ การไม่ปรับเปลี่ยนทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น ยุคนี้เทรนด์รักษ์โลกคู่สุขภาพมาแรง นมเนยแคลอรีต่ำสำคัญขึ้น อาหารหวาน เค็ม มัน มีผลต่อธุรกิจบริษัท รวมถึงการบริหารจัดการต่างๆ ทำแบบเดิมไม่ได้ เพราะยุคนี้การแข่งขันสูงด้วย
"เราต้องก้าวสู่ปีที่ 70 สิ่งที่ท้าทายธุรกิจยากสุดคือ คนไม่ปรับเปลี่ยน รอหายนะ และสูญพันธุ์ได้"
ทั้งนี้ เคซีจี เป็นองค์กรที่พยายามปรับกระบวนท่า เพื่อก้าวให้ทันสถานการณ์โลกอยู่เสมอการมีสินค้าตรงความต้องการตลาด เป็นหนึ่งรากฐาน "เคซีจี" ทว่า กุญแจความสำเร็จบริษัทฯ ยังมาจาก "การไม่ขยายการลงทุนเกินตัว" ทำให้ห้วงเวลาที่เผชิญวิกฤติค่าเงินปี 2527 ต้มยำกุ้ง รวมถึงโรคโควิด-19 ระบาด องค์กรล้วนผ่านพ้นมาได้
6 ทศวรรษ "เคซีจี" โตแกร่ง เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ "ตง" เผยว่า ภาพธุรกิจครอบครัวก็จะเสริมทัพด้วยการทำงานร่วมกับมืออาชีพมากขึ้น ส่วนเป้าหมายใหญ่ที่อยากเห็นคือ บริษัทฯ เติบโตสู่องค์กร 100 ปี สอดรับกับเจตนารมย์ที่ต้องการเป็นตำนานให้สังคมรู้จักว่า เคซีจีต้องการทำให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง มีธรรมาภิบาล ดูแลสังคม และที่สำคัญคือ ให้กิจการตกทอดจากรุ่นก่อตั้งสู่ทายาทรุ่นหลัง