“กฎสิ่งแวดล้อม”กลืนการค้าโลก “พาณิชย์”ใช้ FTA ปรับเงื่อนไขเป็นโอกาส
ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีผลใช้บังคับแล้ว 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศคู่ FTA ได้แก่ อาเซียน (9) จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี และฮ่องกง โดยความตกลงการค้าเสรีที่ไทยทำกับอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA)
ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อ ปี 2536 ถือเป็นความตกลงการค้าเสรีฉบับแรกของไทย และ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP เป็นความตกลงฉบับล่าสุดของไทยที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2565
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมการรับมือการใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) ว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2566 ที่ผ่านมา กรมได้เชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ ร่วมประชุมเพื่อแจ้งความคืบหน้าพัฒนาการล่าสุดของมาตรการ CBAM ของอียู พร้อมทั้งหารือแนวทางการเตรียมความพร้อมของไทยในการรับมือมาตรการดังกล่าว ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยที่ประชุมเห็นว่า มาตรการ CBAM จะมีผลกระทบกับการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะเหล็กและเหล็กกล้า และอลูมิเนียม จึงเห็นควรให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม หรือ กรอ. สิ่งแวดล้อม เพื่อทำหน้าที่ประสานและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งเสนอให้รัฐเร่งจัดให้มีการช่วยเหลือด้านเงินทุน (green finance) แก่ผู้ประกอบการที่ปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
อรมน กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้ามาตรการ CBAM สหภาพยุโรปได้เผยแพร่ระเบียบ CBAM (Regulation (EU) 2023/956) เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2566 โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้า 6 กลุ่ม ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ต้องแจ้งปริมาณสินค้าที่นำเข้ามาในอียู และปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสินค้านั้น ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2566 – 31 ธ.ค. 2568 โดยในช่วง 3 ปีแรก ให้แจ้งข้อมูลย้อนหลังทุกไตรมาส หลังจากนั้นให้แจ้งข้อมูลย้อนหลังทุกปี นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 อียูจะเริ่มมาตรการบังคับกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องซื้อ “ใบรับรอง CBAM” ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้น
"อียูได้เผยแพร่ร่างกฎหมายลำดับรอง กำหนดหน้าที่การรายงานข้อมูลและรายละเอียดของข้อมูลที่ต้องรายงานโดยผู้นำเข้า ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะต่อร่างกฎหมายลำดับรองนี้ จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 11 ก.ค.นี้ (ตามเวลาบรัสเซลส์) ซึ่งไทยจะเน้นเรื่องการแจ้งข้อมูล และการคำนวณข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นเรื่องเทคนิคที่มีความยุ่งยาก และจะเป็นภาระต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทย รวมถึงการกำหนดหน่วยงานที่จะสอบทานและตรวจรับรอง (verify/certify) ข้อมูล ทั้งนี้ หากอียูสามารถรับรองให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ของไทย เป็นหน่วยงานสอบทานได้ จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น"
อรมน กล่าวอีกว่า ข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ไทยสามารถใช้เพื่อกำหนดกรอบการค้าระหว่างกันเพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำการค้า ซึ่งFTA ยุคใหม่ก็จะมีเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หากไทยสามารถหารือกับคู่ค้าได้แล้วก็จะทำให้การค้าในอนาคตง่ายขึ้นแม้จะมีเงื่อนไขใหม่ๆเกิดขึ้นก็ตาม
โดยล่าสุดการเจรจาFTA ไทย-อียู มีกำหนดไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมและเชิญหัวหน้าคณะเจรจา FTA ของฝ่ายอียูมาหารือที่ไทยในวันที่ 18 ก.ค.นี้ ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการการเจรจา FTA ในภาพรวม ก่อนที่ฝ่ายอียูจะเป็นเจ้าภาพการเจรจารอบแรกแบบเต็มคณะในช่วงเดือนก.ย. ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยี่ยมต่อไป
“ได้เชิญนายคริสตอฟ คีแนร์ หัวหน้าคณะเจรจาของฝ่ายอียูในการเจรจา FTA ไทย-อียู มาร่วมหารือเฉพาะในระดับหัวหน้าคณะ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการบริหารจัดการการเจรจา FTA ไทย-อียู เช่น แผนงานการเจรจา ระเบียบวิธีการประชุม รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มเจรจาในแต่ละประเด็น อาทิ การค้าสินค้า กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า มาตรการเยียวยาทางการค้า อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช พิธีการด้านศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า การค้าบริการและการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การแข่งขัน รัฐวิสาหกิจ ทรัพย์สินทางปัญญา การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน ความโปร่งใส กลไกระงับข้อพิพาท การค้าดิจิทัล พลังงานและวัตถุดิบ SMEs หลักปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ”
สำหรับการเจรจาFTA ไม่เพียงการเปิดเจรจาฉบับใหม่เท่านั้น ฉบับเดิมที่ได้ทำไปแล้วก็ต้องมีการทบทวนให้ทันสมัย ซึ่งประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนก็เป็นเงื่อนไขใหม่ที่ต้องบรรจุเข้าไปเพื่อทำการเจรจาให้ข้อตกลงการค้านั้นๆทำหน้าที่ไม่เพียงลดภาษีเท่านั้นแต่ต้องอำนวยความสะดวกทางการค้าและตอบโจทย์การค้าใหม่ๆให้ได้ด้วย