สัญญาณหายนะ? 'เพนกวิน' กว่า 2,000 ตัว ตายเกลื่อนหาด คาดเกิดจาก 'โลกร้อน'
นักวิทยาศาสตร์คาดปัญหา "โลกร้อน" กระทบถึงแหล่งอาหารของสัตว์หลายชนิด ล่าสุด..พบซาก "เพนกวิน" สภาพผอมโซตายเกลื่อนหาดอุรุกวัยกว่า 2,000 ตัว บางตัวถึงขั้นไม่มีอะไรอยู่ในท้อง
Keypoints:
- “เพนกวินมาเจลลัน” เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของสัตว์ทะเลที่ถูกจัดให้อยู่ในภาวะใกล้ถูกคุกคามมาตั้งแต่ปี 2004 แต่ก็ยังมีรายงานการตายของพวกมันอยู่เรื่อยๆ
- ล่าสุดเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา บริเวณชายหาดอุรุกวัยพบซากเพนกวินมาเจลลันกว่า 2,000 ตัว ถูกซัดมาเกยตื้นในสภาพผอมโซ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าพวกมันอาจจะอดตาย
- หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เพนกวินมาเจลลันไม่มีอาหารกินก็เพราะปัญหาจาก “ภาวะโลกร้อน” ส่งผลให้เกิดพายุเพิ่มขึ้นและพัดเอาอาหารของพวกมันออกไปจากถิ่นที่อยู่
เกิดการตั้งคำถามถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกอีกครั้ง หลังจากช่วงสิ้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา พบซาก “Magellanic Penguins” หรือ “เพนกวินมาเจลลัน” กว่า 2,000 ตัว ถูกซัดมาเกยตื้นตายอยู่บริเวณชายหาดอุรุกวัย ในสภาพที่ซูบผอมผิดปกติ และจากการตรวจสอบพบว่ากว่าร้อยละ 90 ของเพนกวินเหล่านั้น ไม่มีไขมันสำรองในร่างกายและไม่มีอาหารเหลืออยู่ในท้อง
ที่น่าเศร้าก็คือเพนกวินเหล่านี้ยังมีอายุไม่มากนัก และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเพนกวินตายเป็นจำนวนมาก แต่ปัญหานี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ในปี 2010 และอาจเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ประชากรเพนกวินมาเจลลันมีจำนวนลดลง
- รู้จัก “เพนกวินมาเจลลัน” ที่ได้รับการตั้งชื่อตามนักสำรวจ
สำหรับเพนกวินมาเจลลันนั้น เป็นหนึ่งใน 18 สายพันธุ์ของเพนกวินที่มีอยู่ทั่วโลก พวกมันได้รับการตั้งชื่อตามนักสำรวจชาวโปรตุเกส “เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน” ที่บังเอิญไปพบเจอพวกมันขณะล่องเรือสำรวจทวีปอเมริกาใต้ หลังจากนั้นมีข้อมูลว่าพวกมันสามารถพบเจอได้ทั่วไปทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติกและฝั่งแปซิฟิกของทวีปอเมริกาเหนือ รวมถึงในอาร์เจนตินา ชิลี และหมู่เกาะฟอล์คแลนด์
ลักษณะเด่นของเพนกวินมาเจลลันก็คือ มีลำตัวสีดำ แต่มีส่วนท้องเป็นสีขาว เพื่อปกป้องตัวเองจากนักล่าในท้องทะเล เพราะเวลาพวกมันดำลงไปในน้ำลำตัวที่เป็นสีดำจะช่วยให้พวกมันดูกลมกลืนไปกับห้วงน้ำในมหาสมุทร ส่วนเท้ามีลักษณะเป็นพังผืดและตีนกบยาวเพื่อให้ว่ายน้ำได้คล่องตัว รวมถึงมีขนปกคลุมเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันมีสภาพอากาศหนาวจัด
โดยปกติแล้ว “เพนกวินมาเจลลัน” จะออกไข่เฉลี่ยเพียงครั้งละ 2 ฟอง ส่วนอาหารหลักของพวกมันก็คือปลาขนาดเล็ก เช่น ปลากะตัก ปลาซาร์ดีน เป็นต้น และเมื่อฤดูผสมพันธุ์สิ้นสุดลง พวกมันก็จะว่ายน้ำอพยพขึ้นไปทางเหนือในช่วงฤดูหนาว
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงของเพนกวินมาเจลลันก็คือ พวกมันถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์เพนกวินที่เผชิญภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อการอยู่รอด เช่น มลพิษน้ำมันตกค้างเรื้อรังในทะเล ซึ่งรายงานจากบัญชีแดงของ IUCN ประเมินไว้ว่ามีเพนกวินมาเจลลันตายจากมลพิษน้ำมันไปแล้วถึง 20,000 ตัว นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากอุตสาหกรรมการประมงขนาดใหญ่ และปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ “การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ” เพราะนอกจากจะส่งผลให้ที่อยู่อาศัยของพวกมันเสียหายจากการโดนน้ำท่วมแล้ว ยังทำให้พวกมันไม่มีอาหารกินด้วย
- “ภาวะโลกร้อน” หนึ่งในตัวแปรเพนกวินตายเกลื่อน?
จากปัญหาดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า ส่วนหนึ่งอาจมาจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “เพนกวิน” เกยตื้นตายพร้อมกันเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลจาก The National News ระบุว่าเคยมีการนำเสนอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมว่าเพนกวินมาเจลลันถือเป็นสัตว์ที่อยู่ในกลุ่ม “ใกล้ถูกคุกคาม” ตั้งแต่ปี 2004 และตลอดช่วงเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าพวกมันหลายร้อยตัวเกยตื้นตายอยู่บริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกของอเมริกาใต้
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซากของ “เพนกวินมาเจลลัน” ถูกซัดมาอยู่บริเวณชายหาดเป็นจำนวนมาก เพราะก่อนหน้านี้เมื่อปี 2010 พบว่ามีเพนกวินประมาณ 500 กว่าตัว ตายอยู่บริเวณชายหาดของบราซิลเนื่องจากไม่มีอาหารกิน และหลังจากนั้นในปี 2012 ก็มีเพนกวินมาเจลลันถูกพบว่าอดตายอยู่ที่ชายหาดเดิมอีกประมาณ 700 ตัว ต่อมาในปี 2019 ก็พบว่ามีเพนกวินกว่า 300 ตัว ตายเพราะคลื่นความร้อน
แม้ว่าเหตุการณ์อันน่าเศร้าเกี่ยวกับการตายของเพนกวินมาเจลลันจะเกิดขึ้นมาตลอดหลายปี แต่สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมานั้น Carmen Leizagoyen (คาร์เมน เลซาโกเยน) เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอุรุกวัยระบุว่า ร่างกายของเพนกวินเหล่านั้นไม่มีไขมันสำรองหลงเหลืออยู่เลย และภายในท้องของพวกมันก็ว่างเปล่าคล้ายกับว่าอดอาหารมาเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ยังพบว่าไขมันบนขนของเพนกวินก็หายไปด้วย ซึ่งไขมันดังกล่าว คือ ปัจจัยสำคัญที่ปกป้องพวกมันจากอากาศที่หนาวเย็น โดยเฉพาะในเพนกวินที่ยังมีอายุน้อย
การตายของเพนกวินมาเจลลันในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะพายุไซโคลนที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งอุรุกวัยได้พัดพาเอาอาหารของเหล่าเพนกวินไปที่อื่น ทำให้พวกมันต้องอดอาหารและอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนอดตายไปในที่สุด
ไม่ใช่แค่เพียงเพนกวินเท่านั้น แต่ในบริเวณนั้นยังมีซากนกทะเล ซากเต่า และซากสิงโตทะเลที่ร่างกายไร้ซึ้งไขมันและอาหารในท้องรวมอยู่ด้วย ทำให้เชื่อได้ว่าท้องทะเลในปัจจุบันนี้อาจกำลังเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร
ปัจจัยสำคัญที่ Rescate de Fauna Marina (SOS) หรือ องค์กรสวัสดิภาพสัตว์มองว่าทำให้สัตว์ทะเลตายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มาจากการทำประมงขนาดใหญ่ในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ และผลเสียจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อกระแสน้ำนอกชายฝั่ง รวมถึงอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดพายุอีกด้วย
แม้ว่าจะมีการตายของสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันกลับยังไม่มีการแก้ปัญหาและการรับมือที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้สัตว์เหล่านี้ต้องอดอาหารจนตายและอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ในอานคต แต่สิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายควรตระหนักก็คือผลกระทบจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตร่วมโลกของเราค่อยๆ ทยอยหายไปเรื่อยๆ
อ้างอิงข้อมูล : The National News, National Geographic, Rescate de Fauna Marina (SOS) และ Sciencealert