‘ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป’ รุกกรีนโลจิสติกส์ ผนึกพันธมิตรสร้างกรีนโซลูชัน
“ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป” เริ่มก่อตั้งในปี 2546 และขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยมีธุรกิจโลจิสติกส์เป็นจุดเริ่มต้นและขยายไปสู่นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และบริการด้านดิจิทัล ทั้งในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ ได้ขยายครอบคลุมพื้นที่พื้นที่ให้เช่ากว่า 2.9 ล้านตารางเมตร ประกอบด้วย คลังสินค้า โรงงานแบบ Built to Suit ซึ่งสร้างความต้องการของลูกค้า ด้วยมาตรฐานระดับโลก
ในขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ในภาพรวมมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็น 24% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด ซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์หาทางลดผลกระทบ โดยแนวความคิด “กรีนโลจิสติกส์” จะเป็นแนวทางที่สร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ที่จะนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ลูกค้าของดับบลิวเอชเอสัดส่วน 80% เป็นบริษัทต่างชาติ จึงมีคำถามจากลูกค้าเกี่ยวกับการลดการปล่อยคาร์บอน รวมทั้งดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีนโยบายที่จะทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยเติบโตอย่างยั่งยืนจึงมองแนวทางของกรีนโลจิสติกส์
สำหรับรูปแบบกรีนโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จะเป็นการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ในคลังสินค้าอัจฉริยะและศูนย์กระจายสินค้าของกลุ่มบริษัทฯ อีกทั้งยังได้นำเอาพลังงานแสงอาทิตย์ ฉนวนกันความร้อน และระบบควบคุมแสงไฟ/ อุณหภูมิอัจฉริยะมาใช้เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และ ยังส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งสีเขียวหรือการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ถือเป็นการนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรให้กับลูกค้า นับตั้งแต่การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปที่จะส่งไปยังสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งจะมีการควบคุมด้วยระบบดิจิทัล และให้บริการลูกค้าผ่าน “ซูเปอร์แอป”
ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้ศึกษาแนวทางดังกล่าวมา 2 ปี โดยร่วมมือกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านเพื่อกำหนดโซลูชันและให้บริการลูกค้า ประกอบด้วย
1. ผู้ผลิตหรือนำเข้ารถเชิงพาณิชย์
2. ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า
3.การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์
4.เทคโนโลยีดิจิทัล
ซึ่งมีการพัฒนาโดยหน่วยงานภายในและร่วมมือพัฒนากับสตาร์ตอัป เพื่อพัฒนาซูเปอร์แอปครอบคลุม 6 โมดูล ที่เชื่อมกับการบริการของพันธมิตรแต่ละราย และมีแผนที่จะเปิดตัวซูเปอร์แอปและพันธมิตรในต้นปี 2567
“เราสำรวจความเห็นของลูกค้าว่าต้องการอะไร และได้ผลตอบรับที่ดีเพราะทำให้ต้นทุนของลูกค้าลดลง ซึ่งดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปมี ECO System ที่พร้อมให้บริการ และถือเป็นธุรกิจที่มีอนาคตเพราะในไทยยังไม่มีบริการแบบนี้”
นอกจากนี้ หากพิจารณาต้นทุนคงที่จะสูงกว่าการใช้บริการโลจิสติกส์ทั่วไป แต่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จะสร้างคู่มือการใช้บริการโซลูชันที่คำนวณต้นทุนที่ลดลง รวมทั้งในสัญญาจะระบุต้นทุนที่จะลดลง สัดส่วนการใช้แบตเตอรี่และระยะทางวิ่งของรถบรรทุก ซึ่งทั้งหมดจะผ่านการคำนวณจากระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ทั้งนี้ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ถือว่ามีส่วนเร่งให้ลูกค้ามีการปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน เพราะบางบริษัทเริ่มประกาศชัดเจนว่าภายในกี่ปีจะใช้ยานยนต์ไฟฟ้าครบ 100%
สำหรับจุดเริ่มต้นในการให้ความสำคัญกับกรีนโลจิสติกส์มากจาก “เมกะ เทรนด์” ของโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น โดยถ้าดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเชื่อว่าจะช่วยประเทศได้ในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ที่ยังมีสัดส่วนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์วลรวมในประเทศ (GDP) เพราะต้นทุนโลจิสติกส์ของลูกค้าจะลดลง
“ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ไม่ได้มองเฉพาะประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง แต่มองเรื่องการเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตร และมองว่าจะทำอย่างไรที่จะลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศลง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ของประเทศไทย"
นอกจากนี้ กรีนโลจิสติกส์ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กรตามพันธกิจ “การพัฒนาธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่นยืนThe Ultimate Solution for Sustainable Growth” ภายใต้แคมเปญ WHA : We Shape The Future ที่มุ่งเป็นผู้สร้างทั้งความเจริญ สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับชุมชน และสังคมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสู่เป้าหมายสูงสุด คือ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย
รวมทั้งดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงมองธุรกิจโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่มีอนาคต ทำให้ดับบลิวเอชเอได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ จากเดิมที่เริ่มจากการสร้างคลังสินค้าให้เช่าเพียงอย่างเดียว และได้พัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการในปัจจุบันและนำมาสู่การขับเคลื่อนกรีนโลจิสติกส์
ขณะเดียวกันดับบลิวเอชเอกรุ๊ปยังคงเดินหน้าภารกิจ “Mission To The Sun” ซึ่งมี 9 โครงการเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ สู่การยกระดับการพัฒนาองค์กรและบุคลากรของบริษัทมุ่งสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 โดยกรีนโลจิสติกส์ เป็นหนึ่งใน 9 โครงการที่สำคัญดังกล่าว
“เราได้สร้างองค์กรขึ้นมาจนมี Market Capital รวมของทุกกลุ่มบริษัท ระดับหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านบาท และในขณะที่คนอื่นกำลังมองดวงจันทร์ แต่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จะมองพระอาทิตย์ เพื่อนำพลังงานจากแสงอาทิตย์มาใช้อย่างไม่มีวันหมด”
ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนแล้วตั้งแต่ปี 2021 และขณะนี้กำลังไปสู่เป้าหมายการลดปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยปัจจุบันถือว่าปล่อยคาร์บอนน้อยเพราะใช้ไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์และมีการออกแบบอาคารแบบประหยัดพลังงาน และในปี 2567 จะมีคาร์บอนส่วนเกิน 300,000 ตัน ที่ได้ลงทะเบียนและพร้อมจำหน่าย