“Thai ESG Found” สิทธิประโยชน์สู่บทบาท การเงินสู่เป้าหมายความยั่งยืน
การขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนด้วยการให้ความสำคัญในหลายๆด้านพร้อมกัน เรียกว่า ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล: Environment, Social, Governance)นั้นต้องใช้ปัจจัยสำคัญด้านการเงินมาเป็นกลไกขับเคลื่อน ซึ่งตลาดทุนเป็นฟันเฟือนที่จะมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้
พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึง “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” ว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะขับเคลื่อนตลาดทุนให้ตอบโจทย์ส่งเสริมการทำ ESG ให้กับผู้ลงทุนและผู้ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนซึ่งเป็นเหมือนผลตอบแทนจากการทำสิ่งที่ดีและจะได้รับสิ่งที่ดีกลับไป โดย กองทุนรวม Thai ESG เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินด้านความยั่งยืนที่มีความหลากหลายที่ผู้ออกทรัพย์สินนั้นเป็นภาครัฐหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
ทั้งนี้ ก.ล.ต สนับสนุนให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ส่งเสริมความยั่งยืนของประเทศไทย และจัดการกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน รวม 11 ฉบับ โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งกองทุนรวม Thai ESG Found ได้ทันที ซึ่งชุดแรก จำนวน 25 กองทุน จาก บลจ.16 แห่ง
โดยผู้ลงทุน เป็นกลุ่มการลงทุนสินค้าสีเขียว กลุ่มคนที่สนใจและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนที่พอเหมาะพอสม อย่างผู้ที่จะลงทุนเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็สามารถลงทุนได้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนมากขึ้น สามารถนำเงินลงทุนในกองทุน Thai ESG Found
สามารถมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน ในเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับปีภาษีที่มีการลงทุน
รวมทั้งเงินหรือผลประโยชน์ที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีถ้าการลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรประกาศกำหนด
โดยผู้มีเงินได้ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวไม่น้อยกว่า 8 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน ซึ่งเป็นการเสริมสร้าง Social lmpact ผ่านการลงทุน Thai ESG Found ซึ่งเกิดประโยชน์เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ยังยกเว้นให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า บริษัทที่จดทะเบียนด้านความยั่งยืนมีการรายงานผลโดยส่งข้อมูลให้ตลาดหลักทรัพย์ จนทำให้มีผลิตภัฑณ์ที่เกี่ยวกับ ESG มากมาย ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศซึ่งเป็นจุดขายในการดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยปัจจุบันไทยมีเรตติ้งสำคัญระดับโลกซึ่งบริษัทไทยอยู่ในดัชนีมากที่สุดในอาเซียนและอยู่ในระดับต้นๆของโลก
กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ( FETCO) กล่าว่า ESG เป็นกระแสที่เข้มข้นมากขึ้น การลงทุนสีเขียวต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนจึงจะสามารถลงทุนได้ และการที่ไทยมีกองทุน Thai ESG Found ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยใส่ใจเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก
ชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ทั้งโลกให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เป็นอย่างมาก โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้น้ำหนักสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ แต่การเป็น Ageing society (สังคมผู้สูงอายุ)ในไทยทำให้เรื่องการออมต่ำกว่าประเทศในเอเชีย ถ้าสิ่งเสริมทางด้านการออมด้วยกองทุน Thai ESG Found ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็นตัวกระตุ้นให้คนไทยมีความสนใจในการออมได้มาก รวมถึงสามารถเพิ่มนักลงทุนได้อย่างมหาศาล
โดยรายละเอียดของกองทุน Thai ESG สามารถลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุน ในประเทศไทยเท่านั้น โดยตราสารทุนมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้คะแนนจากตลาดหลักทรัพย์ที่มีเรตติ้งขึ้นไปประมาณ 200 ตัว โดยจากรายงานนั้นบริษัทมีการสนับสนุนการลดการใช้ก๊าซ เรือนกระจกที่ลดลงเรื่อยๆ และบางบริษัทมีการตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างชัดเจน ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะเป็นบริษัทที่ได้รับเลือกในการลงทุนในส่วนของกองทุนหุ้น
ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้จะใช้เกณฑ์ในการลงทุนของ ก.ล.ต เป็นหลัก และใช้มาตราฐานสากลเป็นหลักโดยต้องมีส่วนของ
Green bond ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถลงทุนได้เช่นกัน
“กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” หรือ“Thai ESG Found” นอกจากทำหน้าที่ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนของไทยแล้วผลพลอยได้ที่น่าจับตามองคือ ช่องทางการออมและการลงทุนของคนไทยที่มีสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่เอื้อต่อทุกคนที่สนใจทั้งการออมและความยั่งยืน