'ปรัชญาธุรกิจ CRC CARE'ดัน'เซ็นทรัล รีเทล' ลุยความยั่งยืนสังคม-สิ่งแวดล้อม
หากพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวของทุกคนอีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือแม้แต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ธุรกิจค้าปลีกก็มีส่วนลดปัญหาเหล่านี้ได้เช่นกัน
เซ็นทรัล รีเทล ผู้นำค้าปลีก-ค้าส่งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ที่มุ่งสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมมาโดยตลอด ผ่านกลยุทธ์ CRC ‘ReNEW’ โดยมีผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในปี 2023 ดังนี้
1. Reduce Greenhouse Gas Emissions การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ 12.2% จากการใช้พลังงานทั้งหมด ด้วยการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ 142 แห่ง ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม และสถานีประจุไฟฟ้า 62 สาขา รองรับรถยนต์ไฟฟ้าได้ 793 คัน ในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า, ส่งเสริมการใช้รถบรรทุกไฟฟ้าในการขนส่งสินค้า, การติดตั้งตู้เย็นประหยัดพลังงานกว่า 1,195 ตู้ เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด 30% ในปี 2030
2. Navigate Environmental Responsibility สร้างทักษะและปลูกฝังความรับผิดชอบด้าน ESG ให้กับพนักงานทุกระดับ ผ่านโครงการ Future Skills Development และ Strategic Camp ที่มีการสอดแทรกประเด็นด้านการจัดการพลังงานและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยมีผู้เข้าอบรมมากกว่า 24,000 คน รวมทั้งร่วมมือกับซัพพลายเออร์กว่า 135 ราย จัดโครงการ Central Retail Logistics for SME and Sustainability Program เพื่อส่งเสริมการจัดการด้านความยั่งยืน
3. Eco-Friendly Materials การส่งเสริมสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการขยายร้านค้าสีเขียวจำหน่ายสินค้ารักษ์โลกจำนวนกว่า 76 แห่ง เช่น ร้าน Healthiful โดยตั้งเป้าเดินหน้าเปิดเพิ่มเป็น 200 แห่ง รวมทั้งสนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ถึง 28% ด้วยการเพิ่มตัวเลือกสินค้าที่เป็นกรีนโปรดักส์ สินค้าออร์แกนิค สินค้าวีแกน และอื่นๆ พร้อมตั้งเป้าให้ได้ 100%
4. Waste Management Solutions การบริหารจัดการขยะมูลฝอย โดยสามารถนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้ 8.1% (98,201 ตัน) ด้วยการแปลงขยะเป็นปุ๋ยหรือแก๊สหุงต้มเพื่อลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ รวมถึงการประยุกต์เศรษฐกิจหมุนเวียนผ่าน 3Rs เช่น การรีไซเคิลฝาและขวดพลาสติก, การส่งเสริมให้ลูกค้านำถุงผ้ามาใช้เอง และการรณรงค์คัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายการนำขยะมาใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นเป็น 30% เป็นต้น
และเนื่องในโอกาสที่วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก เซ็นทรัล รีเทล จึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เซ็นทรัล รีเทล และบริษัทในเครือได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนและสังคม ดังนี้
1. Wonderfruit 2023 เซ็นทรัล รีเทล ได้เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงาน Wonderfruit 2023 ซึ่งเป็นเทศกาลที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในฐานะพันธมิตรที่มีจุดยืนด้านความยั่งยืนร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยภายในงานได้เนรมิตพื้นที่ CRC Sensory Space ซึ่งมีไฮไลท์เป็นประติมากรรม Happiness Forward ดอกไม้ยักษ์สีสันสดใส ที่ทำมาจากวัสดุ
รีไซเคิลและของเหลือใช้จากงานเทศกาลต่าง ๆ ทั่วไทย โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ 100% พร้อมทั้งสอดแทรกเรื่องความยั่งยืนในทุกมิติให้กับผู้เข้าร่วมงาน ผ่านการทำกิจกรรมและเวิร์กชอปมากมาย
2. โครงการแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เซ็นทรัล รีเทล ได้ช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ชุมชนแม่แจ่ม เพื่อการพัฒนาระบบผลิตอาหารที่ยั่งยืน โดยให้ชาวบ้านเปลี่ยนจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวมาเป็นการทำเกษตรยั่งยืน เพื่อเพิ่มคุณภาพดินและน้ำในพื้นที่ ช่วยฟื้นฟูป่า รวมทั้งยังได้ทำการตลาดเพื่อสนับสนุนสินค้าจากชุมชนโดยนำไปจัดจำหน่ายผ่านร้านในเครือเซ็นทรัล รีเทล อีกด้วย
3. แคมเปญ Central/Robinson Love the Earth 2023 ซึ่งส่วนหนึ่งของภารกิจปลูกป่า 50,000 ไร่ ภายในปี 2573 โดยที่ผ่านมาได้ปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 100,000 ต้น บนพื้นที่ประมาณ 490 ไร่ เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปพร้อมกับการสร้างความตระหนักรู้และการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่คู่ค้าและองค์กรในท้องถิ่น ผ่านการจัดกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและ
โรบินสัน อาทิ การเสวนาเรื่องความยั่งยืนและการปกป้องสิ่งแวดล้อม, การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ เวิร์กช็อป DIY และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนภารกิจปลูกป่าให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
4. ร้าน Everyday Everywhere Shop เซ็นทรัล รีเทล สนับสนุนวิสาหกิจท้องถิ่นขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ โดยจัดสรรพื้นที่เฉพาะภายใต้ชื่อ “ร้าน Everyday Everywhere Shop” ให้แก่วิสาหกิจดังกล่าว โดยในปี 2566 มีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากจังหวัดกรุงเทพฯ, นนทบุรี, นครปฐม, เชียงใหม่, เพชรบุรี และสงขลา นำสินค้ามาจำหน่ายใน 2 สาขา คือ สาขาราชพฤกษ์และสาขาฉลอง
5. ตกแต่งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจากผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ด้วยการจับมือกับ LaRocca แบรนด์แฟชั่น
อัปไซเคิล สร้างสรรค์งานศิลปะจัดวางอย่างสวยงาม เพื่อตกแต่งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาเมกาบางนา ด้วยถุงผ้าใบมือสองกว่า 1,600 ใบ รวมถึงการร่วมมือกับชุมชนหุบกะพง จังหวัดเพชรบุรี จัดแสดงผลงานประติมากรรมจากเส้นใยรีไซเคิล ณ เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังได้ร่วมกันกับ CTRL+R Collective จัดแสดงนิทรรศการป๊อปอัพเกี่ยวกับวัสดุหมุนเวียน วัสดุย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และวัสดุรีไซเคิล ทำให้ผู้เข้าชมได้ตระหนักถึงความยั่งยืนในภาคการค้าปลีกมากขึ้น
6. โครงการรีไซเคิลและอัพไซเคิล เซ็นทรัล รีเทล จัดกิจกรรม “ส่งฝา แลกฝัน ปันอนาคตให้น้องอย่างยั่งยืน” ด้วยการเชิญชวนพนักงานมาร่วมบริจาคฝาขวดน้ำพลาสติก เพื่อนำมารีไซเคิลเป็นชั้นวางหนังสือ พร้อมส่งต่อให้โรงเรียนที่ขาดแคลน ซึ่งตลอด 5 เดือนของการจัดกิจกรรม มีพนักงานเข้าร่วมกว่า 5,000 คน และสามารถรวบรวมฝาขวดน้ำพลาสติกได้กว่า 274,200 ฝา หรือราว 457 กิโลกรัม นอกจากนี้ในกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์อย่างเพาเวอร์บายและออฟฟิศเมท ยังได้มีการรวบรวมขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว เพื่อนำไปแปรรูปเป็นเส้นใยแล้วทอเป็นผ้าไตรจีวรสำหรับพระภิกษุ โดยในปี 2566 ขวดพลาสติกจำนวน 20,009 ขวด ถูกนำไปรีไซเคิลเป็นผ้าไตรจีวรได้ 333 ชิ้น รวมทั้งเพาเวอร์บายยังได้ร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จัดตั้งจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ 40 แห่งทั่วประเทศ เพื่อนำไปรีไซเคิลและกำจัดอย่างเหมาะสมตามมาตรฐานสากล
7. ร่วมมือกับสตาร์ทอัป “ใจกล้า” เปลี่ยนขยะอาหารเป็นขนมสัตว์เลี้ยง โดยการรวบรวมขยะอาหาร เช่น ขนมปัง ผัก และผลไม้ ที่กินไม่ได้แล้วจากท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 10 สาขาในกรุงเทพฯ ที่ได้ผ่านการคัดและตรวจสอบคุณภาพ เพื่อนำไปแปรรูปเป็นอาหารสำหรับแมลง ก่อนที่แมลงดังกล่าวจะกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตขนมสัตว์เลี้ยงจากโปรตีน เพื่อนำไปวางจำหน่ายในท็อปส์ โดยโครงการนี้สามารถช่วยลดขยะอาหารได้มากถึง 23,589 กิโลกรัม
8. ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ บนหลังคาของห้างสรรพสินค้า, ศูนย์การค้า และศูนย์กระจายสินค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล เพื่อช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายพลังงาน ซึ่งในปี 2566 ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ไปแล้ว 112 แห่งในประเทศไทย ครอบคลุมทุกหน่วยธุรกิจ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไทวัสดุ, ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์, ศูนย์กระจายสินค้า และอีก 30 แห่งในประเทศเวียดนาม โดยโครงการนี้ช่วยผลิตพลังงานหมุนเวียนได้มากถึง 87,824 เมกะวัตต์ หรือ 316 จิกะจูล สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 43.90 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าและ
ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้เซ็นทรัล รีเทล 388,331 บาทต่อปี
9. การเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมความยั่งยืนด้านพลังงาน โดยได้เริ่มโครงการระบบควบคุมการจัดการเครื่องทำความเย็น (Chiller Plant Manager System: CPMS) และระบบบริหารจัดการข้อมูลด้านพลังงาน (Energy Management Information System: EMIS) ที่ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จำนวน 7 สาขา โดยเทคโนโลยีนี้ช่วยตรวจสอบและจัดการเครื่องทำความเย็นสำหรับระบบปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจัดเก็บข้อมูลการใช้พลังงาน เพื่อระบุพื้นที่ที่มีการใช้พลังงานสูง โดยระบบ CPMS และ EMIS สามารถลดการใช้พลังงานได้ 1,897 เมกะวัตต์/ชั่วโมง คิดเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 948.31 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
10. ส่งเสริมการขนส่งและการเดินทางอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 เซ็นทรัล รีเทล ได้เปลี่ยนมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าจำนวน 24 คัน เพื่อรองรับงานโลจิสติกส์ของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ โดยโครงการนี้สามารถลดการใช้น้ำมันดีเซลได้ถึง 355,588 ลิตร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 970 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้มีการติดตั้งสถานีสำหรับชาร์จรถไฟฟ้าที่ห้างสรรพสินค้า โดยสามารถรองรับการชาร์จรถไฟฟ้าได้ถึง 793 คัน
โครงการทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของเซ็นทรัล รีเทล ภายใต้ปรัชญาในการดำเนินธุรกิจ “CRC Care” ในมิติ Care for the Environment ที่มุ่งสร้างโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน ตอกย้ำเจตนารมณ์ในการเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีก-ค้าส่งต้นแบบด้านความยั่งยืนแห่งเอเชีย นอกจากนี้เซ็นทรัล รีเทล ยังให้ความสำคัญกับ
พาร์ทเนอร์และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายผ่านมิติ Care for the Partner ที่ร่วมมือกับสตาร์ทอัพขนาดเล็กไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน