'ยุทธศาสตร์ฟ้าใส' ไทย-ลาว-เมียนมา แก้หมอกควันข้ามแดน
กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy)
ยุทธศาสตร์ฟ้าใสเป็นแผนงานความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา ระหว่างปี 2567-2573 ซึ่งรวมถึงการกำหนดเป้าหมายลดจุดความร้อน การจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟไหม้ป่า การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสุขภาพต่อประชาชน การส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการจัดตั้งสายด่วน (hotline) เพื่อประสานงานระหว่างทั้งสามประเทศ
สิ้นปี ระดับ PM 2.5 เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
"มาริษ เสงี่ยมพงษ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ฟ้าใสได้รับการพัฒนาขึ้นจากความจำเป็นในการต่อสู้กับระดับมลพิษ PM 2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมาจากแหล่งต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม การขนส่ง ไฟป่า และการเผาทางการเกษตร
ย้อนไปเมื่อเดือนเมษายน 2566 ผู้นำของประเทศไทย ลาว และเมียนมาได้พบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาหมอกขวัญในภูมิภาค ซึ่งเห็นว่าเป็นปัญหาเร่งด่วน จึงตกลงที่จะดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้กลยุทธ์ CLEAR Sky ในระยะเวลา 2567-2573
"เมื่อใกล้สิ้นปีและอุณหภูมิเริ่มลดลง เป็นช่วงที่ระดับ PM 2.5 จะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น การเปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมนี้ในตอนนี้ (29 ตุลาคม 2567) จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม ผมมั่นใจว่าแผนปฏิบัติการร่วมนี้จะช่วยสนับสนุนความพยายามในระดับภูมิภาคและระดับโลกในการแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันอย่างมีนัยสำคัญ"
อาเซียนดำเนินการอะไรบ้าง?
"มาริษ" กล่าวว่า ในระดับทวิภาคี ทั้งสามประเทศได้ร่วมมือกันในการพัฒนาแผนที่ความเสี่ยงจากไฟไหม้ และการสร้างขีดความสามารถในระดับภูมิภาค นอกจากนั้น ยังร่วมกันในโครงการความร่วมมือผ่านกรอบการทำงานต่างๆ เช่น กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง, โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region : GMS) หรือหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ, และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี- เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS)
"อาเซียนได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันผ่านข้อตกลงและกลไกระดับรัฐมนตรี นอกจากนี้ เรายังมีส่วนร่วมในการหารือกับคู่เจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นที่นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหา
สำหรับประเทศไทย การแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน โดยเฉพาะ PM2.5 ถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนี้ รัฐบาลไทยยังอยู่ในระหว่างการร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด
แม้ว่าเราจะได้ดำเนินการหลายอย่างแล้ว แต่ยังต้องมีการดำเนินการอีกมาก แผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ฟ้าใสที่เปิดตัวนี้จะส่งเสริมความพยายามร่วมกันของ 3 ประเทศ ซึ่งไทยยินดีรับแนวคิดเกี่ยวกับวิธีใช้แผนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินและเทคโนโลยี และกรอบทางกฎหมาย"
3 ประเทศแก้หมอกควันมากว่า 10 ปี
"ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวว่า ประเทศไทย โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ฝุ่นละออง รวมถึงหมอกควันข้ามแดน มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคมมาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
"สำหรับปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นของประเทศไทย สปป.ลาว และเมียนมา ทั้ง 3 ประเทศได้มีการดำเนินงานร่วมกันต่อเนื่องมากว่า 10 ปี สำหรับการริเริ่มยุทธศาสตร์ฟ้าใสครั้งนี้เป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน พ.ศ. 2567-2573 และเพื่อยกระดับความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคผ่านการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการร่วมฯ พร้อมทั้งเป็นการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนในวงกว้างถึงผลกระทบของมลพิษทางอากาศข้ามแดน เพื่อขับเคลื่อนให้ภูมิภาคของเราเป็นภูมิภาคปลอดหมอกควันอย่างแท้จริงเพื่อประชาชนของเราทุกคน"
จุดความร้อนลุ่มน้ำโขงเพิ่มขึ้น 93%
"บุนคำ วอละจิด" รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว กล่าวว่า มลพิษทางอากาศยังคงเป็นปัญหาท้าทายอย่างมาก ทั้งชุมชนเมืองและชนบทในภูมิภาคอาเซียน ในปี 2023 ภูมิภาคลุ่มน้ำโขงประสบกับการเพิ่มขึ้นของจุดความร้อนจากไฟป่าถึง 93% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ซึ่งนำไปสู่มลพิษข้ามแดนที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศลาว เมียนมา และไทย
นอกจากนั้น อีกปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดมลพิษนี้คือการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งปล่อยควันและฝุ่นละอองจำนวนมากสู่อากาศ มลพิษนี้มีผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สามประเทศได้พัฒนาแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ CLEAR Sky ซึ่งมุ่งเน้นการควบคุมและดับไฟ การพยากรณ์และการตรวจสอบสถานการณ์หมอกควัน การจัดการเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และการบังคับใช้กฎหมาย โดยการเน้นการมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งจากทุกภาคส่วน รวมถึงรัฐบาล ชุมชน และภาคเอกชน
ยุทธศาสตร์นี้มุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคและบรรลุวิธีแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต่อปัญหาเร่งด่วนเหล่านี้ รัฐบาลลาวได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและไฟป่า โดยมุ่งหวังที่จะปรับปรุงคุณภาพอากาศให้แก่ประชาชนและประเทศเพื่อนบ้าน ความพยายามเหล่านี้รวมถึงกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม มาตรฐานคุณภาพอากาศ เทคโนโลยีทำความสะอาด และการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ของประชาชน
เมียนมามุ่งปลูกป่าชายแดนไทย-ลาว
"คิน หม่อง ยี" รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา กล่าวว่า ในเมียนมา เราทุ่มเทในการควบคุมมลพิษหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะในรัฐชานที่ติดกับไทยและลาว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังร่วมมือกันเพื่อดำเนินการยุทธศาสตร์ป้องกันไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการป้องกันไฟป่า การส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรแบบลาดเอียงแทนการเพาะปลูกแบบหมุนเวียน การสร้างความตระหนักรู้ และการตรวจสอบคุณภาพอากาศและจุดความร้อนจากไฟป่า รวมถึงการแจ้งผลการตรวจสอบคุณภาพอากาศให้แก่ชุมชนท้องถิ่น
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เป็นหนึ่งในความสำคัญระดับชาติและเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ เมียนมาได้ปลูกต้นไม้หลายล้านต้นทุกปีในพื้นที่ที่เสื่อมโทรมและพื้นที่ที่ป่าถูกทำลาย โดยในปี 2021 มีการปลูกต้นไม้หลายล้านต้นทั่วประเทศ และด้วยความพยายามในการดำเนินการที่มาก การตัดไม้ทำลายป่าประจำปีลดลงอย่างมาก
ในรัฐทางตะวันออกที่ติดกับลาวและไทย มีการเพิ่มพื้นที่ป่าอย่างมีนัยสำคัญ 56.7% ในปี 2010, 60.1% ในปี 2015 และ 82% ในปี 2020 แนวโน้มเชิงบวกนี้คาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2025
จากวันที่ 10-12 มีนาคม 2024 ผมและหัวหน้ารัฐบาลของรัฐชานได้จัดการประชุมปรึกษาหารือกับหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนในรัฐชานเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในการควบคุมมลพิษหมอกควัน