"บิล เกตส์" คงไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ทันท่วงที
บิล เกตส์ พูดถึงรายงานความคืบหน้าของการเร่งรัดพัฒนาเทคโนโลยีใหม่หลายด้านเพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน พร้อมกับองค์การสหประชาชาติเสนอรายงานการประเมินความคืบหน้าของการแก้ปัญหาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
บิล เกตส์ ใช้ทรัพย์สินนับหมื่นล้านดอลลาร์เข้าไปช่วยแก้ปัญหาระดับโลก ผ่านทั้งการให้เปล่าและการสนับสนุนพร้อมการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาของกิจการแสวงหากำไร ในด้านการให้เปล่า
เขาเน้นการแก้ปัญหาสุขภาพ ลดความขาดแคลนอาหารและการศึกษา การค้นคว้าหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน เป็นกิจการแสวงหากำไรที่เกตส์สนับสนุน พร้อมกับการลงทุนเพื่อหวังกำไรในวันข้างหน้า
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บิล เกตส์ พูดถึงความคืบหน้าของการค้นคว้าหาเทคโนโลยีใหม่ใน 5 ด้านเพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน ประกอบด้วย กระแสไฟฟ้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การขนส่งและอาคารบ้านเรือน
เขาบอกว่าเขาตื่นเต้นมากที่การค้นคว้าทั้ง 5 ด้านคืบหน้าเร็วมาก จากการวิจัยผ่านไปถึงการพัฒนาจนถึงการนำออกมาใช้ในกิจการต่างๆ แล้ว
พร้อมกับนำตัวอย่างการลดก๊าซเรือนกระจกมาเสนอ เช่น บริษัทซีเมนส์เปลี่ยนกระจกแบบเก่า ซึ่งอาคารทั่วโลก 1,300 แห่งใช้มาเป็นกระจกแบบใหม่ที่ใช้สุญญากาศช่วยเก็บความร้อนและความเย็น สายการบินอเมริกันกับพันธมิตรเริ่มใช้เชื้อเพลิงชนิดใหม่ และบริษัทไมโครซอฟท์ใช้ปูนซีเมนต์ชนิดใหม่ในการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ 2 แห่ง
ท่ามกลางการอ้างถึงรายงานของความสำเร็จในหลายด้านอย่างตื่นเต้นนั้น บิล เกตส์ พูดถึงอุปสรรคที่ยากแก่การก้าวข้ามมากที่สุดอย่างหนึ่งของชาวโลกปัจจุบัน นั่นคือ
โครงข่ายการกระจายกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ทั่วโลกขาดศักยภาพสำหรับส่งพลังงานไฟฟ้าที่เทคโนโลยีสะอาดผลิตขึ้น การปรับเปลี่ยนโครงข่ายทำสำเร็จได้ยากมากเนื่องจากต้องทำแบบเร่งด่วนและใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล
ภาพอุปสรรคอันแสนยากแก่การก้าวข้ามที่ บิล เกตส์ อ้างถึงนั้น ตรงกับภาพความมืดมนในรายงานขององค์การสหประชาชาติ ความมืดมนเกิดจาก 2 ปัจจัยได้แก่
คำมั่นสัญญาที่ประเทศต่างๆ ให้ไว้ในการประชุมองค์การสหประชาชาติครั้งก่อนๆ ว่า จะดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น หากดำเนินต่อไปโดยไม่เปลี่ยนแปลง โลกจะร้อนขึ้น 2.6-2.8 องศาเซลเซียส ภายในคริสต์ศตวรรษนี้ จากระดับที่เป็นอยู่เมื่อก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม
การร้อนขึ้นขนาดนั้นจะมีผลร้ายแรงมาก เนื่องจากเมื่อโลกร้อนขึ้นเพียง 1.1 องศาเซลเซียสดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผลของมันในรูปของความเสียหายจากลมพายุใหญ่ น้ำท่วมหนักและความแห้งแล้งต่อเนื่องเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้ว
ปัจจัยที่ 2 เท่าที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าประเทศส่วนใหญ่มิได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ เมื่อปีที่แล้ว การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงเพิ่มขึ้นเกิน 1% แทนที่จะลดลง ด้วยเหตุดังกล่าว องค์การสหประชาชาติจึงประเมินว่าถ้าชาวโลกไม่ทำอะไรใหม่แบบทันทีทันใดให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โลกจะร้อนขึ้นไปถึง 3.1 องศาเซลเซียสภายในคริสต์ศตวรรษนี้ และทั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่ การจะให้ชาวโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนบรรลุเป้าหมายที่จะมิให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสไม่ต่างกับการเข็นครกขึ้นภูเขา
รายงานและการประเมินขององค์การสหประชาชาติ จะได้รับการพิจารณาในการประชุมเกี่ยวกับภาวะภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติครั้งที่ 29 ระหว่างวันที่ 11-22 พ.ย.นี้ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน
มองจากการต่อรองของประเทศต่างๆ และการรักษาคำมั่นสัญญาที่มาจากการต่อรองเหล่านั้นในอดีตยากที่จะเห็นภาพของความสำเร็จในการป้องกันมิให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ประเทศเล็กๆ ในยุโรปเพียงไม่กี่ประเทศ ที่จริงจังกับการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก ส่วนประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทำกันแบบไม่เต็มใจ จึงไม่สำเร็จ
การพิจารณารายงานทั้งคู่ร่วมกันพอจะสรุปได้ว่า แม้งาน 5 ด้านที่ บิล เกตส์ เกี่ยวข้องอยู่จะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วตามแนวการทำงานของภาคเอกชน แต่คงจะมาช่วยป้องกันมิให้โลกร้อนขึ้นจนคนทนอยู่ยากไม่ทัน
เพราะงานของภาครัฐส่วนใหญ่เดินไปในแนวเต่าคลาน ฉะนั้น ชาวโลกจะต้องพิจารณาหาทางสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน หรือหาทางหนีทีไล่ไว้ให้พร้อมรับสภาพแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแบบทันทีทันใด.