COP29 ปิดฉากด้วยข้อตกลง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ช่วยประเทศกำลังพัฒนาลดโลกร้อน
การเงินด้านสภาพภูมิอากาศเป็นรากฐานสำคัญของความพยายามด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ โดยทำให้แน่ใจว่าทุกประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่เปราะบางที่สุด มีทรัพยากรที่จำเป็นในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ
KEY
POINTS
- เป้าหมายการระดมทุนอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2035 จากแหล่งสาธารณะและเอกชน
- ขยายเป้าหมายการระดมทุนร่วมกันจากประเทศพัฒนาแล้ว จาก 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2035
- การจัดตั้งตลาดคาร์บอนระดับโลกใหม่ตามข้อ 6 ของข้อตกลงปารีส เปิดทางสำหรับการซื้อขายคาร์บอนแบบทวิภาคี
- ปฏิญญาลดมีเธนจากขยะอินทรีย์ มีประเทศกว่า 30 ประเทศลงนามรับรอง ซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของการปล่อยก๊าซมีเทนจากขยะอินทรีย์ทั่วโลก
- เปิดตัวโครงการริเริ่มสภาพภูมิอากาศ Baku Harmoniya ส่งเสริมระบบการเกษตรที่ยืดหยุ่น
- เปิดตัวโครงการ Water for Climate Action ลงนามโดย 50 ประเทศ
“กรุงเทพธุรกิจ” เกาะติดสถานการณ์ การประชุม COP29 ที่กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน จนถึงจุดสิ้นสุดการประชุมในวันนี้ (22 พฤศจิกายน 2567) เป็นระยะเวลา 12 วัน ที่ผู้นำจากภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหากำไร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทั่วโลก ร่วมหารือปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เร่งด่วน และทำงานสู่อนาคตที่ยั่งยืนเพื่อความก้าวหน้าในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การประชุมในปีนี้ได้สิ้นสุดลงด้วยข้อตกลงครั้งสำคัญที่กำหนดเป้าหมายการเงินด้านสภาพภูมิอากาศใหม่ (NCQG) ที่ทะเยอทะยาน เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ในการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่
ระดมทุนจากทุกแหล่ง
หลังจากการปรึกษาหารือและเจรจาอย่างเข้มงวด "มุคทาร์ บาบาเยฟ" ประธาน COP29 ได้เปิดเผยชุดข้อความที่เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายการเงินใหม่ ซึ่งเรียกร้องให้ภาคีทั้งหมดระดมทุนอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2035 ซึ่งเป็นเป้าหมายการระดมทุนรวมทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุด และมุ่งหวังที่จะได้รับการสนับสนุนจากทุกแหล่ง ทั้งแหล่งสาธารณะและเอกชนสำหรับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนั้น ยังขยายเป้าหมายการระดมทุนร่วมกันของประเทศพัฒนาแล้ว จาก 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ที่กำลังจะหมดเขตในปี 2025 เป็น 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2035 ซึ่งเป็นการเพิ่มพลังอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศพัฒนาแล้วต้องเป็นผู้นำสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
“วันนี้เราได้วางรากฐานสำหรับเส้นทางที่เป็นธรรมและมีความทะเยอทะยานสำหรับการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ ความพยายามร่วมกันของเราจะไม่เพียงสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้น แต่ยังรับรองอนาคตที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับทุกคน” บาบาเยฟกล่าว
วันสุดท้ายของ COP29 ได้สร้างเวทีสำหรับยุคใหม่ในการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกระตุ้นความพยายามระดับโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนประเทศที่เปราะบางที่สุดในการเดินทางไปสู่ความยั่งยืน
เสียงแตกด้านการเงิน
รัฐบาลที่คาดว่าจะเป็นผู้นำในการจัดหาเงินทุน ได้แก่ สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น นอร์เวย์ แคนาดา นิวซีแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ แต่การจัดหาเงินทุนของประเทศพัฒนาแล้วจำนวน 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2035 เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ยากจนกว่า ได้กระตุ้นให้เกิดการวิจารณ์จากทุกฝ่าย
ความคิดเห็นจากประเทศกำลังพัฒนา
"ฮวน คาร์ลอส มอนเทอร์เรย์ โกเมซ" ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของปานามา ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์สว่า จำนวนเงินที่เสนอมานั้นต่ำเกินไป และเปรียบเทียบว่า "รู้สึกเหมือนว่าโลกที่พัฒนาแล้วต้องการให้โลกถูกเผาไหม้"
ความคิดเห็นจากยุโรป
ในทางตรงข้าม "ผู้เจรจาจากยุโรป" แสดงความคิดเห็นว่าร่างข้อตกลงใหม่มีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป และไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะขยายจำนวนประเทศที่ร่วมสนับสนุนเงินทุน โดยกล่าวว่า "ไม่มีใครสบายใจกับตัวเลขนี้ เพราะมันสูงเกินไป และแทบไม่มีการสนับสนุนฐานผู้สนับสนุนใดๆ เลย"
การแบ่งแยกนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่รัฐบาลจากทั่วโลกต้องเผชิญในการหาฉันทามติเกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศที่มีความเท่าเทียมและเพียงพอต่อความต้องการของประเทศที่มีรายได้น้อย
จีนอินเดียไม่ควรเป็นผู้รับอีกต่อไป
ผู้แทนหลายคนมีความเห็นว่า จีนและอินเดียไม่ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป เพราะไม่สามารถจัดอยู่ในประเภทเดียวกับไนจีเรียและประเทศในแอฟริกาอื่นๆ ได้
และจีนควรรับผิดชอบเพิ่มเติมในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่คนยากจนและเปราะบาง ขณะที่อินเดียไม่ควรมีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน เนื่องจากไม่มีปัญหาในการดึงดูดการลงทุน ผู้แทนบางคนกล่าว
ทั้งนี้ ย้อนไปเมื่อปี 1992 ที่มีการลงนามอนุสัญญากรอบสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) การจำแนกประเภทในตอนนั้นให้จีนและอินเดียถือเป็นประเทศกำลังพัฒนา นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีภาระผูกพันอย่างเป็นทางการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศยากจน และในทางเทคนิคแล้วก็มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือด้านสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าจีนจะเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นก็ตาม
ข้อตกลงปารีส Article 6
การจัดตั้งตลาดคาร์บอนระดับโลก : COP29 ได้รับรองมาตรฐานการดำเนินงานใหม่สำหรับกลไกภายใต้ข้อ 6 อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเปิดทางสำหรับตลาดคาร์บอนระดับโลก กลไกนี้เรียกว่า ข้อ 6.4 มุ่งสร้างระบบการจัดการศูนย์กลางที่ดูแลโดยสหประชาชาติสำหรับประเทศและบริษัทเพื่อชดเชยและซื้อขายการปล่อยก๊าซคาร์บอน
การซื้อขายคาร์บอนแบบทวิภาคี : ข้อ 6.2 อนุญาตให้สองประเทศสร้างข้อตกลงการซื้อขายคาร์บอนแบบทวิภาคีตามเงื่อนไขของตนเอง เส้นทางนี้ได้เห็นข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ไทยและสวิตเซอร์แลนด์แล้ว
องค์กรกำกับดูแลและมาตรฐาน : องค์กรกำกับดูแลข้อ 6.4 ได้สรุปมาตรฐานสำคัญที่ครอบคลุมโครงการกำจัดคาร์บอนและแนวทางวิธีการ มาตรฐานเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อความสมบูรณ์และความโปร่งใสของตลาดคาร์บอน
ความท้าทายและความกังวล : แม้ว่าจะมีความก้าวหน้า แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับกระบวนการนี้ ผู้แทนบางคนกังวลว่าการนำมาตรฐานเหล่านี้มาใช้อย่างรวดเร็วอาจทำลายกระบวนการกำกับดูแลแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายต่อเนื่องเกี่ยวกับความคงทนและความเชื่อถือได้ของเครดิตคาร์บอน
มุมมองขององค์กรสิ่งแวดล้อม : องค์กรสิ่งแวดล้อมได้แสดงความมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวัง พวกเขามองว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อ 6.4 เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่เน้นความจำเป็นในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนสำหรับความน่าเชื่อถือของตลาดในระยะยาว
ปฏิญญาลดมีเธนจากขยะอินทรีย์
ความก้าวหน้าที่เห็นได้เด่นชัด คือ กว่า 30 ประเทศเป็นผู้ลงนามเริ่มแรกที่ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากของเสียอินทรีย์ (Reducing Methane from Organic Waste Declaration) และบรรจุใน NDCs ของตนเอง เช่น สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น, บราซิล, สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งประเทศเหล่านี้รวมกันมีสัดส่วนปล่อยก๊าซมีเทนจากของเสียอินทรีย์กว่า 50% ของโลก
“มาร์ตินา ออตโต” หัวหน้าสหพันธ์ความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศและอากาศสะอาด (CCAC) ของ UNEP กล่าวว่า การเร่งดำเนินการลดมีเธนจากขยะอินทรีย์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเป้าหมายของข้อตกลงปารีสให้อยู่ในระยะที่เข้าถึงได้ และสามารถเสริมสร้างระบบอาหารในระดับโลก ขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจหมุนเวียน
“เนื่องจากกว่าครึ่งของขยะมูลฝอยเป็นขยะอินทรีย์ที่ปล่อยมีเธน และเกือบ 1/3 ของอาหารทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในแต่ละปีสูญเสียหรือเสียหาย ปฏิญญานี้จะช่วยเพิ่มความทะเยอทะยานในการป้องกัน การเก็บรวบรวมแยก และการจัดการขยะอินทรีย์ที่ดีขึ้น รวมถึงผ่านการกำหนดเป้าหมายในแผนสภาพภูมิอากาศรอบต่อไปของประเทศต่างๆ ความร่วมมือในทุกระดับของรัฐบาล และการเงิน ช่วยให้เราเก็บอาหารออกจากหลุมฝังกลบ”
สนับสนุนเกษตรกรเข้าถึงการเงิน
โครงการริเริ่มสภาพภูมิอากาศ Baku Harmoniya เป็นความพยายามระดับโลกที่สำคัญที่เปิดตัวในระหว่างการประชุม COP29 ที่กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และประธานการประชุม COP29
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับเกษตรกรและชุมชนชนบท โดยส่งเสริมระบบการเกษตรที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ เป็นก้าวสำคัญสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยการสร้างระบบการเกษตรที่ยั่งยืนและปรับตัวได้
การรวมความพยายาม : รวบรวมโปรแกรมระดับโลกและระดับภูมิภาคกว่า 90 โปรแกรมเพื่อประสานความพยายามและสร้างกลยุทธ์ที่สอดคล้องในการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร อาหาร และน้ำ
การแบ่งปันความรู้ : ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการแบ่งปันความรู้ ทำให้แนวปฏิบัติและนวัตกรรมที่ดีที่สุดในระดับโลกสามารถเข้าถึงได้ในระดับท้องถิ่น
การประสานงานการเงิน : มุ่งมั่นที่จะประสานงานและทำให้การเงินด้านสภาพภูมิอากาศเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับเกษตรกรและชุมชนชนบท
การเสริมสร้างศักยภาพให้กับเกษตรกร : เน้นการเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้หญิงและเยาวชนในภาคการเกษตร โดยให้เครื่องมือและการฝึกอบรมที่จำเป็นในการปฏิบัติที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ
พอร์ทัลดิจิทัล : ทำพอร์ทัลดิจิทัลแผนที่โปรแกรมที่มีอยู่ ระบุความร่วมมือ และแก้ไขช่องว่าง ที่มีอยู่ทั้งหมดมารวมกันบนแพลตฟอร์มเดียว
ความร่วมมือ : ส่งเสริมความร่วมมือข้ามภาคส่วนและข้ามพรมแดน เพื่อเร่งความก้าวหน้าในการรักษาความมั่นคงทางอาหาร การอนุรักษ์น้ำ และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
"คาเวห์ ซาเฮดี" ผู้อำนวยการสำนักงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อมของ FAO กล่าวว่า การเปิดตัวโครงการริเริ่มสภาพภูมิอากาศ Baku Harmoniya สำหรับเกษตรกร เป็นการเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเกษตรอาหารที่ยั่งยืน ครอบคลุม และยืดหยุ่น
"โครงการ Harmoniya ยอมรับบทบาทสำคัญของเกษตรกรในฐานะตัวแทนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงและเป็นโอกาสที่ไม่มีเทียบเท่าในการขับเคลื่อนโซลูชั่นด้านสภาพภูมิอากาศที่เป็นรูปธรรมผ่านระบบเกษตรอาหาร”
Water for Climate Action
ได้มีการเปิดตัวโครงการ Water for Climate Action ภายใน COP29 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Action Agenda โครงการนี้มีประเทศเกือบ 50 ประเทศลงนามรับรอง โดยให้คำมั่นที่จะใช้แนวทางแบบบูรณาการในการต่อสู้กับสาเหตุและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อลุ่มน้ำ เปิดทางให้เกิดความร่วมมือระดับภูมิภาคและนานาชาติที่มากขึ้น
การประกาศนี้ยังเรียกร้องให้มีการรวมมาตรการลดผลกระทบและการปรับตัวที่เกี่ยวข้องกับน้ำไว้ในนโยบายสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เช่น NDCs และ NAPs เพื่อสนับสนุนความพยายามเหล่านี้ ผู้ลงนามจะทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างการผลิตหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อทรัพยากรน้ำและลุ่มน้ำ รวมถึงผ่านการแบ่งปันข้อมูลและการสร้างสถานการณ์สภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมลุ่มน้ำใหม่
แพลตฟอร์มนี้สร้างความร่วมมือระหว่าง COPs ในประเด็นน้ำและการเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลพิษ และการกันดารอาหาร เพื่อให้หัวข้อสำคัญนี้ยังคงอยู่ในวาระสภาพภูมิอากาศ
"อิงเกอร์ แอนเดอร์เซน" รองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้อำนวยการบริหารของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ในขณะที่ผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเรื่องที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
"COP29 มีความสำคัญมากต่อการที่โลกจะจัดการระบบนิเวศน้ำจืด การเสวนาบากูเกี่ยวกับการดำเนินการด้านน้ำเพื่อการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปิดตัววันนี้ที่ COP29 จะช่วยเสริมสร้างลำดับความสำคัญของน้ำในวาระสภาพภูมิอากาศระดับโลก UNEP หวังว่าจะได้ร่วมงานกับประเทศสมาชิกและประธาน COP29 เพื่อขับเคลื่อนวาระสำคัญนี้ไปข้างหน้า”
ไทยลุ้นเป้าหมายการเงินใหม่
"ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช" อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ระหว่างการประชุม COP29 ว่า ไทยได้รับเงินสนับสนุนโครงการสีเขียวเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund: GCF) ที่จัดสัดส่วนการเงินให้ประเทศกำลังพัฒนา 2 รูปแบบ ได้แก่ เงินสำหรับเตรียมความพร้อม และเงินสำหรับดำเนินโครงการต่าง ๆ
“ไทยได้รับเงินสนับสนุน 7 ล้านดอลลาร์ เป็นเงินให้เปล่าที่ใช้ดำเนิน 8-9 โครงการ ใช้พัฒนาขีดความสามารถการทำแผนงานของไทย และสร้างเครื่องมือในการศึกษาทางเทคนิคเพื่อเตรียมดำเนินการตาม พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยได้เงินมาดำเนินการ 2 โครงการ เป็นแบบเงินให้เปล่าทั้งคู่ ได้แก่
1.โครงการสร้างภูมิคุ้มกันและการจัดการน้ำและการเกษตร โดยได้จัดสรรงบประมาณรวม 16 ล้านดอลลาร์
2.โครงการปลูกข้าวลดโลกร้อน ระบบ ฟาร์มอัจฉริยะ ได้งบประมาณ 43 ล้านดอลลาร์ ทำงานร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)
นายพิรุณ กล่าวว่า GCF มีเงินอยู่ 3,600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกใช้กับประเทศที่กำลังพัฒนา แต่การประชุม COP29 กำลังพูดถึงเป้าหมายทางการเงินใหม่ (NCQG) ที่จะกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วมีส่วนร่วมในการช่วยประเทศที่กำลังพัฒนา โดยอาจกำหนดวงเงินตั้งแต่ 1 แสนล้านดอลลาร์ ไปจนถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์
ในส่วนของการระดมเงินทุน จะเริ่มตั้งแต่ปี 2568-2569 ไปจบในปี 2573 ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหารือ ส่วนของเครื่องมือทางการเงินจะแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ 1.เงินให้เปล่า 2.เงินกู้เงื่อนไขการผ่อนสูง 3.ตราสารหนี้ และ 4.ธนบัตร
"เงินเหล่านี้จะช่วยให้ไทยขับเคลื่อนเป้าหมาย NDC ประจำประเทศได้ โดยแบ่งเป็นสิ่งที่ประเทศทำเองได้ 3.4% และสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศอีก 6.7%
นอกจากนั้น ใน COP29 ไทยได้มีเจรจาความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่น หารือแนวทางเตรียมนำระบบการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า ระบบดาวเทียมที่ใช้ก๊าซมาช่วยยกระดับการรายงาน และเร่งรัดการซื้อขายและเครดิตระหว่างสองประเทศ
COP30 บราซิล
การประชุมด้านสภาพภูมิอากาศครั้งถัดไปหรือ COP30 จะจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์สำคัญเนื่องจากบราซิลเป็นผู้เล่นหลักในนโยบายสภาพภูมิอากาศระดับโลกและมีโอกาสที่จะแสดงความมุ่งมั่นต่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยการประชุมครั้งนี้คาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่การอนุรักษ์ป่าฝน การเกษตรที่ยั่งยืน และพลังงานทดแทน
COP30 คาดว่าจะต่อยอดจากความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นใน COP29 และเสริมความแข็งแกร่งให้กับความพยายามของโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทั่วโลกจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดเมื่อบราซิลนำการเป็นเจ้าภาพในงานสำคัญนี้