‘โลกร้อน’ เป็นเหตุ นก ‘หย่าร้าง’ เพิ่มมากขึ้น ผสมพันธุ์ไม่ได้ อาจสูญพันธุ์
“โลกร้อน” เป็นเหตุ นกหลายชนิด เช่น นกเซเชลส์วอร์เบลอร์ และ นกอัลบาทรอสคิ้วดำ “หย่าร้าง” เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผสมพันธุ์ไม่ได้ จนอาจสูญพันธุ์
KEY
POINTS
- “โลกร้อน” เป็นเหตุ นกหลายชนิด เช่น นกเซเชลส์วอร์เบลอร์ และ นกอัลบาทรอสคิ้วดำ “หย่าร้าง” เพิ่มมากขึ้น
- สาเหตุหลักที่ทำให้นกเลิกกันเป็นเพราะไม่สามารถออกลูกได้ แต่บางครั้งนกก็หย่าร้างกันโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
- สำหรับนกทะเลแล้ว การที่น้ำอุ่นขึ้นหมายถึงปลาและอาหารที่น้อยลง และสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายลง ลูกนกมีโอกาสรอดน้อยลง ต้องบินหาอาหารไกลขึ้น
สัตว์หลายชนิดมีความสัมพันธ์แบบ “ผัวเดียวเมียเดียว” โดย “นก” ส่วนใหญ่จับคู่กันเพื่อสร้างครอบครัวและเลี้ยงลูกด้วยกันเป็นเวลาหลายปี เช่นเดียวกับมนุษย์ นกก็สามารถ “หย่าร้าง” เลิกรากันได้ โดยไม่ต้องรอให้คู่ครองเสียชีวิต แต่ปัจจุบันอัตราการหย่าร้างของนกเพิ่มมากขึ้นจาก “ภาวะโลกร้อน”
ตามการศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยแมกควอรี ในออสเตรเลีย พบว่า สภาพอากาศที่เลวร้าย ส่งผลให้อัตราการหย่าร้างของนกร้องเพลง (Songbird) สายพันธุ์เล็กในเขตร้อนเพิ่มขึ้น
เนื่องจากรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้อย่างไร ซึ่งหากเหตุการณ์เหล่านี้รบกวนการใช้ชีวิตและความรักของสัตว์ อาจส่งผลร้ายแรงต่อการสืบพันธุ์และอยู่รอดของสายพันธุ์ต่าง ๆ
“นกเซเชลส์วอร์เบลอร์” (Seychelles warbler) มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะเซเชลส์ในมหาสมุทรอินเดีย นกชนิดนี้เคยใกล้สูญพันธุ์ เหลืออยู่เพียง 26 ตัวในโลก ปัจจุบันมีประชากรนกชนิดเพิ่มขึ้นและห่างไกลจากการสูญพันธุ์แล้ว นับเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในการอนุรักษ์เพื่อรักษาสายพันธุ์นี้ไว้
ปรกตินกเซเชลส์จะครองคู่อยู่ด้วยกันได้นานถึง 15 ปี แต่ในแต่ละปีมีนกที่แยกทางกันราว 1-16% โดยสาเหตุหลักที่ทำให้นกเลิกกันเป็นเพราะไม่สามารถออกลูกได้ พวกมันจึงแยกย้ายกันไปหาคู่ใหม่ แต่บางครั้งนกก็หย่าร้างกันโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน และอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้นกเลิกกัน รวมไปถึงสภาพอากาศที่เลวร้าย
นกเซเชลส์วอร์เบลอร์
นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลเฉพาะที่ครอบคลุมหลายทศวรรษ เพื่อกำหนดสถานะความสัมพันธ์ของนกทั้งหมดบนเกาะในช่วงเวลา 16 ปี และเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าวกับข้อมูลปริมาณน้ำฝนจากสถานีอุตุนิยมวิทยาในพื้นที่ พบว่าการหย่าร้างของนกมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับปริมาณน้ำฝนที่ตกในช่วง 7 เดือนก่อนและระหว่างฤดูผสมพันธุ์ โดยอัตราการหย่าร้างพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเอลนีโญหรือลานีญาก็ตาม
ปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งใหญ่ในปี 1997 ทำให้มีฝนตกหนักเป็นพิเศษในปีนั้น โดยฝนตก 1,430 มม. เมื่อเทียบกับปริมาณเฉลี่ย 884 มม. ส่งผลให้อัตราการหย่าร้างของนกเซเชลส์พุ่งถึง 15.3% ดูเหมือนว่านกเหล่านี้จะครองคู่กันในช่วงที่อากาศดี และจะเลิกกันเมื่ออากาศแย่ลง
นอกจาก นกเซเชลส์วอร์เบลอร์แล้ว ก่อนหน้านี้ก็พบว่า “นกอัลบาทรอส” สัตว์ที่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครองมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก กำลังหย่าร้างบ่อยขึ้น เพราะภาวะโลกร้อนเช่นเดียวกัน
ผลการศึกษาของราชสมาคมแห่งลอนดอน ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำที่อุ่นขึ้น ส่งผลให้มีอัตราการแยกทางของนกอัลบาทรอสคิ้วดำ (Black-browed Albatross) สูงขึ้น ทั้งที่ปรกติแล้ว นกชนิดนี้จะแยกทางกันเพียง 1-3% เท่านั้น
แต่ในช่วงหลายปีที่อุณหภูมิของน้ำที่อุ่นขึ้นผิดปกติ ค่าเฉลี่ยการหย่าร้างก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 8% โดยการศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาประชากรนกทะเลในป่าจำนวน 15,500 คู่ที่ผสมพันธุ์ในหมู่เกาะฟอล์กแลนด์เป็นเวลา 15 ปี
นกอัลบาทรอสคิ้วดำ
สำหรับนกทะเลแล้ว การที่น้ำอุ่นขึ้นหมายถึงปลาและอาหารที่น้อยลง และสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายลง ลูกนกมีโอกาสรอดน้อยลง พวกมันถูกบังคับให้ล่าเหยื่อในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งใช้เวลาหาอาหารนานกว่าเดิม หากนกไม่สามารถกลับมาผสมพันธุ์ในฤดูผสมพันธุ์ คู่ผสมพันธุ์ของพวกมันอาจย้ายไปอยู่กับคู่ผสมพันธุ์ใหม่ อีกทั้งน้ำทะเลที่อุ่นขึ้นและสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายจะทำให้ฮอร์โมนความเครียดของนกเพิ่มขึ้น โดยนกตัวเมียจะรู้สึกถึงความเครียดทางสรีรวิทยา และอาจกล่าวโทษตัวผู้ว่าไม่มีประสิทธิภาพในการหาอาหารเพียงพอ
การหย่าร้างของนกอัลบาทรอสมักทำนายได้จากความล้มเหลวในการสืบพันธุ์ หากพวกมันไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ ก็มีโอกาสแยกทางกันมากขึ้น และหาคู่ใหม่ในฤดูผสมพันธุ์ครั้งต่อไป แต่ก็มีนกอัลบาทรอสบางส่วนที่เลิกรากัน แม้จะประสบความสำเร็จในการผสมพันธุ์เช่นกัน เช่นเดียวกับนกเซเชลส์วอร์เบลอร์ ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความมั่นคงของความสัมพันธ์ของนกเซเชลส์วอร์เบลอร์
สภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ตั้งแต่ปริมาณของแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัย และสภาพการทำรัง หากเกิดความแห้งแล้งเป็นเวลานานก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของนกได้อีกด้วย
นอกจากนี้การรักษาอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสมในช่วงที่มีฝนตกหนักเป็นเรื่องท้าทายสำหรับนกหลายสายพันธุ์ ซึ่งอาจเพิ่มระดับความเครียดที่นกต้องเผชิญและเพิ่มความไม่มั่นคงในการอยู่ร่วมกัน แต่ก็อาจไม่จำเป็นต้องส่งผลให้ไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้ทั้งหมด
เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายเกิดขึ้นบ่อยขึ้น สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่าง ๆ ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการอยู่รอดของสายพันธุ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบนิเวศทั้งหมดที่สายพันธุ์เหล่านี้อาศัยอยู่ด้วย
ปัจจุบันจำนวนนกอัลบาทรอสกำลังจดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากจำนวนเหยื่อที่น้อยลง น้ำทะเลอุ่นขึ้น และการเผชิญหน้ากับเรือประมงปลาทูน่าที่เข้ามาจับและฆ่านกโดยไม่ได้ตั้งใจมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับนกเซเชลส์วอร์เบลอร์ที่ยังมีจำนวนมากอยู่
ที่มา: BBC, Phys, The Conversatioon, The Guardian