กฟผ. ส่ง กองทุน CIF ยกระดับอุตสาหกรรมทำความเย็น ด้วยนวัตกรรมสีเขียว
"กฟผ." ส่ง "กองทุน CIF" ยกระดับอุตสาหกรรมทำความเย็น ด้วย "นวัตกรรมสีเขียว" ช่วยให้การใช้พลังงานคงประสิทธิภาพปรับอุณหภูมิให้เย็นสบาย และไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
"สภาพอากาศที่รุนแรง" เป็นผลกระทบจากการทำร้ายสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดภาวะ "อากาศร้อน" ที่กลายเป็น "ร้อนจัด" และยาวนานมากขึ้น "เครื่องปรับอากาศ" จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์
ประเทศไทยนับเป็นแหล่ง อุตสาหกรรมทำความเย็น ที่สำคัญ ทั้งในบทบาทเป็นผู้ส่งออกตั้งแต่ ส่วนประกอบไปจนถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องในระดับต้นๆ ของโลก แต่ "สารทำความเย็นสังเคราะห์" ในกลุ่มคลอโรฟลูออโรคาร์บอน และกลุ่มไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrochlorofluorocarbons : HCFCs) ที่ใช้อยู่ได้ส่งผลให้เกิดการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนอันเป็นสาเหตุของสภาวะโลกร้อนสูง
ดังนั้น "อุตสาหกรรมทำความเย็น" ไม่เพียงต้องคงประสิทธิภาพการปรับอากาศให้เหมาะสมกับความเป็นอยู่ที่เหมาะสมของมนุษย์เท่านั้น แต่ต้องเพิ่มฟังก์ชันไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จึงร่วมกันจัดตั้งกองทุนนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมทำความเย็น (EGAT Cooling Innovation Fund) หรือ กองทุน CIF เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการเงินทุนคงเหลือจากโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น (Thailand Refrigeration and Air Condition Nationally Appropriate Mitigation Actions) หรือโครงการ RAC NAMA ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษและเยอรมัน
โดยบทบาท กองทุน CIF จึงเป็นกำลังสำคัญที่จะต่อยอดให้อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นไทยก้าวสู่เทคโนโลยีการทำความเย็นสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา กองทุน CIF สนับสนุนเงินทุนกว่า 190 ล้านบาท ให้กับหน่วยงานและโครงการต่างๆ เพื่อขยายเครือข่ายนวัตกรรมทำความเย็นสีเขียว
"การเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น นำไปสู่การสนับสนุนให้ผู้ผลิตหันมาใช้เทคโนโลยีทำความเย็นสีเขียวและสารทำความเย็นธรรมชาติที่เรียกว่า สารกลุ่มไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbons : HCs) ซึ่งช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม"
สำหรับผลการทำงานของกองทุน CIF นั้น ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณให้สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (สฟอ.) ดำเนินการจัดหาอุปกรณ์เพื่อปรับปรุงห้องปฏิบัติการรองรับการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพพลังงานสำหรับตู้แช่ที่ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติต่อสมรรถนะของตู้เก็บวัคซีน และรับรองผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ รวมถึงส่งเสริมกระบวนการจัดการซากเครื่องปรับอากาศและสารทำความเย็นอย่างถูกวิธี เพื่อผลักดันและเตรียมความพร้อมของประเทศให้สามารถสร้างระบบการจัดการซากผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเสียอันตรายได้อย่างปลอดภัย ลดผลกระทบปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน
ณรัฐ สุจิรัตน์ ผู้อำนวยการ สฟอ. กล่าวว่า กองทุน CIF ได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานไว้ให้อย่างเหมาะสมแล้ว ทั้งเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านการทดสอบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมของประเทศ
นอกจากนี้ กองทุน CIF ยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศถ่ายทอดองค์ความรู้ ผ่านการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านความปลอดภัยในการใช้สารทำความเย็นธรรมชาติกว่า 17 ศูนย์ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำเนินการฝึกอบรมครูช่างและช่างฝีมือกว่า 820 คน เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสารทำความเย็นธรรมชาติ และการจัดการสารทำความเย็นที่ติดไฟได้อย่างปลอดภัย
ด้านการขับเคลื่อนภาคประชาสังคมเพื่อรณรงค์ให้คนไทยและผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็นธรรมชาติมากขึ้นนั้น กองทุน CIF ได้สนับสนุนโครงการต้นแบบให้ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถเข้าใจและเข้าถึงเทคโนโลยีการทำความเย็นที่ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนและติดตั้งตู้แช่เชิงพาณิชย์และตู้แช่เย็นแสดงสินค้า ส่งเสริมให้เกิดการใช้ตู้เย็นฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ที่ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ และส่งเสริมกระบวนการจัดการซากเครื่องปรับอากาศและสารทำความเย็นอย่างถูกวิธี
"การใช้สารทำความเย็นธรรมชาติยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และยังทำให้ตู้เย็นมีประสิทธิภาพพลังงานสูงขึ้น ช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 5-25% ทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงด้วย"
ดร. อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท ซีพีแอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม็คโคร และโลตัสได้นำร่องใช้โครงการระบบทำความเย็นประสิทธิภาพสูง และน้ำยาทำความเย็นประสิทธิภาพสูง พบว่า สามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 14% และลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 95%
ในส่วนบทบาทอื่นๆ ของกองทุน CIF ยังสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ พัฒนาเทคโนโลยีทำความเย็นสีเขียว อาทิ โครงการสาธิตตู้แช่เย็นพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการพัฒนาระบบทำความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็น โครงการผลิตไฟฟ้าระบบพลังงานแสงอาทิตย์กับระบบปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ รวมถึงรวบรวมข้อมูล องค์ความรู้จากการดำเนินงานของกองทุน CIF และแหล่งต่างๆ นำมาเผยแพร่
จากผลงานตลอดระยะเวลา 3 ปี ของกองทุน CIF ประเมินว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 40,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นของไทยเปลี่ยนผ่านสู่บทบาทที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ด้วยการยกระดับอุตสาหกรรม ด้วย "นวัตกรรมสีเขียว" ซึ่งสามารถคงประสิทธิภาพปรับอุณหภูมิให้เย็นสบายแต่ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก