ดาวโจนส์บวก 700 จุด ปิดทุบสถิติใหม่วันที่สองติดต่อกัน

ดาวโจนส์บวก 700 จุด ปิดทุบสถิติใหม่วันที่สองติดต่อกัน

ดาวโจนส์บวก 700 จุด ปิดทุบสถิติใหม่เหนือ 40,000 จุดต่อเนื่องเป็นวันที่สอง รับข่าวดียอดค้าปลีกดีขึ้นกว่าที่คาด และยังตอบรับความหวังลดดอกเบี้ยจากถ้อยแถลงประธานเฟดที่ย้ำไม่รอเงินเฟ้อ 2% ก่อนหน้านี้

เมื่อวันอังคารที่ 16 ก.ค.67 ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งทะยานกว่า 700 จุด ปิดบวกทำนิวไฮใหม่เหนือ 40,000 จุดได้เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ขานรับยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ที่แข็งแกร่งเกินคาด และความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังจะเข้าสู่วัฏจักรการลดดอกเบี้ย หลังจากที่ประธานเฟดตอกย้ำสัญญาณนี้อีกครั้งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones) ปิดบวก 742.76 จุด หรือ +1.85% ปิดที่ 40,954.48 จุด 
  • ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ปิดบวก 35.98 จุด หรือ +0.64% ปิดที่ 5,667.20 จุด 
  • ดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต (Nasdaq) ปิดบวก 36.77 จุด หรือ +0.20% ปิดที่ 18,509.34 จุด 
     

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มวัสดุ พุ่งขึ้น 2.54% และ 1.96% ตามลำดับ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร และกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง 0.64% และ 0.38% ตามลำดับ

ขณะที่ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย พุ่งขึ้น 3.5% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2565 โดยดัชนีปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการ ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2543

ทอม เฮนลิน นักกลยุทธ์ด้านการลงทุนจากบริษัท U.S. Bank Wealth Management ในรัฐมินนีแอโพลิส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำ และเป็นหนึ่งในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น ได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. โดยขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าว

ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6.5% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรที่สูงเกินคาด ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสุขภาพในดัชนี S&P500 (S&P500 Health Care Index) ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.3% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 83 เซนต์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 80 เซนต์

หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 1.82 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.65 ดอลลาร์

ยอดค้าปลีกดีเกินคาด

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.0% หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.3% หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. ส่วนเมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนมิ.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค.

หากไม่รวมยอดขายรถยนต์และน้ำมัน ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือนพ.ค.

ยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของระบบเศรษฐกิจสหรัฐนั้นยังคงฟื้นตัว แม้เฟดใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม และข้อมูลดังกล่าวยังช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน และการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.จาก Conference Board

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์