ต่างชาติแห่เทขายพันธบัตรไทย เกือบ 3 หมื่นล้านบาทในเดือน ต.ค.

ต่างชาติแห่เทขายพันธบัตรไทย เกือบ 3 หมื่นล้านบาทในเดือน ต.ค.

นักลงทุนต่างชาติแห่ถอนเงินจากพันธบัตรรัฐบาลไทย เกือบ 3 หมื่นล้านบาทในเดือน ต.ค. กังวลความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย รวมถึงแรงกดดันจากสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหล่านักลงทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทย เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดความเป็นไปได้ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม

ข้อมูลจากสมาคมตลาดพันธบัตรไทยระบุว่า กองทุนต่างชาติได้ถอนเงินลงทุนออกจากพันธบัตรรัฐบาลไทยมากกว่า 850 ล้านดอลลาร์ หรือราว 28,000 ล้านบาทในเดือนตุลาคม ซึ่งนับเป็นการไหลออกของเงินทุนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดย Abrdn บริษัทการลงทุนระดับโลกและผู้จัดการสินทรัพย์มองว่า ตลาดการลงทุนอื่นๆ มีความน่าสนใจมากกว่า 

ขณะที่ธนาคารกรุงไทยคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะทรงตัวอยู่ในช่วง 2.3% ถึง 2.4% จนถึงสิ้นปี โดยปิดที่ระดับ 2.4% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก่อนวันหยุดราชการ

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ธปท.ได้ส่งสัญญาณว่า จะไม่เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยลดดอกเบี้ยอย่างไม่คาดคิดก็ตาม ทั้งนี้ แม้จะมีแรงกดดันจากภาครัฐให้ผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น แต่ธนาคารกลางก็ยังคงประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ ขณะเดียวกัน พันธบัตรรัฐบาลของมาเลเซียกลับได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากมาเลเซียกำลังดำเนินการปฏิรูปการคลังอย่างต่อเนื่อง

“เมื่อพิจารณาถึงระดับผลตอบแทนและแนวโน้มของสกุลเงินที่ดูดีขึ้นเล็กน้อย เราอาจชอบมาเลเซียมากกว่าไทย” พงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ไทยของ Abrdn ในกรุงเทพฯกล่าว “ตลาดกำลังตั้งราคาความเป็นไปได้ 50% สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยอีกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีน้ำมากนักในระดับผลตอบแทนปัจจุบัน”

ตามการคำนวณของบลูมเบิร์กระบุว่า ผลตอบแทนของพันธบัตรไทยสำหรับนักลงทุนที่ใช้เงินดอลลาร์ ได้ลดลง 3.3% ในเดือนตุลาคม เนื่องจากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรไทยกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลงเหลือ -184 จุดพื้นฐานในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยช่องว่างนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าปีถึง 1.5 ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งเป็นอันดับที่สองที่แย่ที่สุดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และเป็นสัญญาณว่าพันธบัตรไทยมีราคาแพงกว่าพันธบัตรของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ จากการสอบสวนพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรอื่น ๆ ว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร

“การไหลออกของเงินทุนอาจยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากปัญหาทางการเมืองอาจไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็วๆ นี้ และใกล้กับการเลือกตั้งของสหรัฐ” จิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ Finansia Syrus กล่าว

“ตลาดกำลังเดิมพันว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนหน้า และจะบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีการค้าแบบครอบคลุมสำหรับสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศ แม้ว่าธปท. อาจเปลี่ยนท่าทีเป็นเชิงผ่อนคลายมากขึ้นในที่ประชุมเดือนธันวาคมนี้ เนื่องจากสงครามการค้า แต่ก็อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรลดลงได้” พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนจากธนาคารกรุงไทยกล่าว

“มีแรงขายในสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ท่ามกลางสงครามการค้ารอบสอง แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อ่อนตัวลงและความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของธปท. อาจทำให้ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีไม่ลดลงมากนัก” พูนกล่าวเสริม “ผมไม่คาดหวังว่าผลตอบแทนจะลดลงได้มากขึ้น”


อ้างอิง: bloomberg