ดาวโจนส์พุ่ง 440 จุดทำนิวไฮ รับมือเฮดจ์ฟันด์ "เบสเซนต์" ว่าที่ขุนคลังสหรัฐ
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกร้อนแรง ขานรับทรัมป์เสนอชื่อ 'สก็อตต์ เบสเซนต์' อดีตผู้อก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์และมือบริหารเงินให้พ่อมดการเงินจอร์จ โซรอส เป็นว่าที่รัฐมนตรีคลังงสหรัฐ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 1% ในวันจันทร์ (25 พ.ย.) ทั้งดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ต่างปิดที่ราคาสูงสุดทุบสถิติใหม่ เนื่องจากตลาดขานรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐเสนอชื่อ "สก็อตต์ เบสเซนต์" (Scott Bessent) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,736.57 จุด เพิ่มขึ้น 440.06 จุด หรือ + 0.99%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,987.37 จุด เพิ่มขึ้น 18.03 จุด หรือ +0.30%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,054.84 จุด เพิ่มขึ้น 51.18 จุด หรือ +0.27%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักหลังจากมีรายงานว่า ทรัมป์ได้เสนอชื่อเบสเซนต์ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ คีย์สแควร์ กรุ๊ป (Key Square Group) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง โดยนักลงทุนมีมุมมองบวกว่าเบสเซนต์จะดำเนินมาตรการที่เอื้อต่อตลาดหุ้น และจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐมีเสถียรภาพมากขึ้น
บลูมเบิร์กระบุก่อนหน้านี้ว่า เบสเซนต์เคยบริหารเงินให้กับพ่อมดการเงิน "จอร์จ โซรอส" เขาอาศัยอยู่ในลอนดอนและเป็นส่วนหนึ่งของทีมภายใต้การนำของสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ซึ่งทำเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 1992 โดยการชอร์ตค่าเงินปอนด์ และทำให้โซรอสโด่งดังในฐานะพ่อมดการเงินผู้ทำลายธนาคารกลางอังกฤษ
สำนักงานครอบครัวของโซรอสทำกำไรได้ประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายใต้การนำของเบสเซนท์ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการลงทุน หรือประมาณ 13% ต่อปี จากนั้นเบสเซนต์ได้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์คีย์สแควร์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จากโซรอส
เขาจะเป็นรัฐมนตรีคลังคนที่สองของสหรัฐต่อจาก "สตีเวน มนูชิน" ที่เคยทำงานให้กับกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโซรอส
สสก็อตต์ เบสเซนต์
นอกจากนี้ เบสเซนต์ซึ่งคร่ำหวอดในแวดวงตลาดหุ้นสหรัฐยังมีจุดยืนสนับสนุนการจัดเก็บภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจของสหรัฐ รวมทั้งมีเป้าหมายควบคุมเงินเฟ้อ ผลักดันการฟื้นตัวของภาคการผลิตและความเป็นอิสระในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐ
ทั้งนี้ การเข้ามารับตำแหน่งของเบสเซนต์ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของสหรัฐ ซึ่งกำลังเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณและหนี้จำนวนมาก โดยสหรัฐมีหนี้ทั้งหมดมากกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งในจำนวนนี้ 28.7 ล้านล้านดอลลาร์เป็นหนี้ภาคสาธารณะ
ข่าวการเสนอชื่อเบสเซนต์ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงแตะระดับ 4.279% และเป็นปัจจัยหนุนหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจสร้างบ้าน
นอกจากนี้ ยังช่วยหนุนดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์กส์ (Bath & Body Works) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกของสหรัฐ พุ่งขึ้น 16.5% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการปีงบการเงิน 2567
หุ้นเมซีส์ (Macy's) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทเลื่อนการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 เนื่องจากปัญหาด้านบัญชี
นักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์ส (Barclays) ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี S&P500 ในปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 6,600 จุด จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 6,500 จุด โดยคาดว่าดัชนี S&P500 จะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐการชะลอตัวของเงินเฟ้อ และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง
ขณะที่นักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) กำหนดเป้าหมายดัชนี S&P500 ไว้ที่ระดับ 7,000 จุดภายในสิ้นปี 2568 โดยคาดว่าผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดต่อเนื่องจากถึงปีหน้า
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันพุธนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนก.ย. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนก.ย.
ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ย. เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) และจะมีการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 29 พ.ย.