CEYE ประมาณการกำไรใหม่ปี 65 เติบโต 90%YoY

CEYE ประมาณการกำไรใหม่ปี 65 เติบโต 90%YoY

2Q65 มีกำไรลดลงแรง 318%YoY เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษ : งวด 2Q65 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 67 ล้านบาท +25%YoY จากการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะงานด้านบริหารสื่อออนไลน์  

อัตรากำไรขั้นต้นลดเหลือ 22.5% ดีขึ้นจาก 14.7% ในงวด 2Q64 แต่ต่ำกว่า ระดับ 34.1% ใน 1Q65 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร +109%YoY และ +60%QoQ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษในการจัดงานบางกอกไพรด์ 2022 เรนโบว์โทเปีย และค่าใช้จ่ายในการ IPO ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 0.8 ล้านบาท +315%YoY -96%YoY หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษจะมีกำไรปกติ 5.9 ล้านบาทใกล้เคียงกับช่วงก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 1H65 มีกำไร 22.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น145%YoY คิดเป็น 39% ของประมาณการเดิม 

-  คาดกำไร 3Q65 มีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ และ YoY จากฐานต่ำ : ทิศทางการดำเนินงานในช่วง 2H65 มีแนวโน้มดีกว่า 1H65 จากความต้องการด้านครีเอทีฟและโปรดักชั่นโฆษณาที่มีแนวโน้มสดใสและฟื้นตัวโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีช่วงล็อกดาวน์บางส่วน และฐานลูกค้าจากธุรกิจที่หลากหลายทั้งกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รถยนต์ การเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้รายได้มีโอกาสเติบโต QoQ โดยคาดจะเห็นการเติบโต YoY จากช่วงที่มีการล็อกดาวน์บางส่วนอย่างมีนัยสำคัญ  และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเช่นที่เกิดขึ้นใน 2Q65 
 

- ปรับประมาณการกำไรปี 65 ลดลง 7% ซึ่งยังเติบโต 90%YoY : ปี 65 คาดว่าเม็ดเงินลงทุนโฆษณามีแนวโน้มฟื้นตัวเพื่อผลิตสื่อโฆษณาในการเข้าถึงผู้บริโภค  ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการรายได้จากการให้บริการในปี 2565 ตามเดิมที่ราว 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%YoY ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเดิมที่ 29.2% แต่ปรับค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 16% เพื่อสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ประมาณการกำไรใหม่ปี 65 ลดลง 7% เหลือ 54 ล้านบาท ซึ่งยังเพิ่มขึ้น 90%YoY  ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 2562-2565 เท่ากับ 12% ต่อปี สำหรับปี 66 ฝ่ายวิจัยประมาณการรายได้และกำไรสุทธิ 398 ล้านบาทและ 64 ล้านบาทซึ่งเติบโต 10% และ 19% ตามลำดับ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโฆษณาและแผนขยายงานออนไลน์โปรดักชั่นในต่างประเทศมากขึ้นจากเดิมที่ให้บริการเพียงภาพนิ่งเป็นหลัก 

-  แนะนำ “ซื้อ” ปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 2566 เท่ากับ 7.12 บาท : การประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี PER ซึ่งเพิ่ม Prospective PER จากเดิมที่ระดับ 21x เป็น 30x ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 64-66 (PER เฉลี่ยกลุ่ม media ในตลาด SET = 34x) เราประมาณกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 66 ราว 0.237 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมเท่ากับ 7.12 บาทสำหรับปี 2566 ซึ่งยังมี upside จึงแนะนำ “ซื้อ”
 

 

 

 

ปัจจัยเสี่ยง

i)    การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม การจำกัดการรวมกลุ่มคน ลูกค้าต่างประเทศเดินทางมาใช้บริการไม่ได้  และลูกหนี้บางส่วนชำระเงินล่าช้า
ii)    ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ลูกค้าชะลอ และ/หรือลดปริมาณการจัดทำสื่อโฆษณา
iii)    ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น