SMIT ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ (14 พ.ย. 2565)

SMIT ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ (14 พ.ย. 2565)

บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 3Q22 เท่ากับ 671.0 ล้านบาท เติบโต +10.0%QoQ และ +10.3%YoY โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์เหล็กและโรงชุบเหล็ก และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องมือเครื่องจักร ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการเปิดประเทศ

ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นทำได้ที่ระดับ 28.7% ลดลงจาก 31.5% ในไตรมาสก่อน และ 32.2% ใน 3Q21เนื่องจากต้นทุนสินค้าและบริการทุกผลิตภัณฑ์ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นตามกลไกราคาในตลาดโลก ขณะที่ SG&A/Sales อยู่ที่ 15.4% ลดลงจาก 17.0% ใน 2Q22 และ 16.9% ใน 3Q22 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 3Q22 เท่ากับ 73.8 ล้านบาท (+4.8%QoQ ,-4.7%YoY) 

 

-    แนวโน้มผลประกอบการปี 23 ได้แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนที่กลับมา

แนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือของปี 22 ต่อเนื่องถึงปี 23 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากแรงหนุนของลูกค้ากลุ่มเครื่องมือเครื่องจักรที่เม็ดเงินลงทุนเริ่มกลับมา หลังจากมีการเปิดประเทศ และลูกค้ากลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ที่ส่งผลให้ยอดขายอลูมิเนียมเพิ่มขึ้น เราคงประมาณการรายได้ปี 22-23 ที่ระดับ 2,207.0 ล้านบาท และ 2,395.7 ล้านบาท เติบโต +7.8%YoY และ +8.6%YoY พร้อมคงกำไรสุทธิปี 22-23 ที่ระดับ และ 263.9 ล้านบาท และ 286.4 ล้านบาท (-9.2%YoY , +8.6%YoY )
 

 

 

 

-   คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 23 เท่ากับ 6.70 บาท

ผลประกอบการได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ ส่งผลให้กำลังซื้อฟื้นตัว เราประเมินมูลค่าอิงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 5 ปี ที่ 12.4 เท่า ได้ราคาเหมาะสมเป็นปี 23 เท่ากับ 6.70 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมคาดหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 7-8% ต่อปี

 

ปัจจัยเสี่ยง
i)    เศรษฐกิจชะลอตัว  
ii)    การส่งสินค้าล่าช้า
iii)    ราคาสินค้าและวัตถุดิบผันผวน