ผันผวนจากแรงขายทำกำไรระหว่างรอปัจจัยผลักดันใหม่

ผันผวนจากแรงขายทำกำไรระหว่างรอปัจจัยผลักดันใหม่

ความเห็นของกรรมการเฟดกดดันตลาดระยะสั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงหลังสัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นรับปัจจัยบวกเกี่ยวกับโอกาสที่เฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยจากเงินเฟ้อที่เริ่มลดลงไปแล้ว

ขณะที่ความเห็นของกรรมการเฟด เจมส์ บูลลาร์ด มองว่าระดับดอกเบี้ยของเฟดในปัจจุบันอาจยังไม่อยู่ในระดับที่มากพอ ความเห็นดังกล่าวทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ และอัตราผลอตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น กดดันต่อภาพการลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตามมุมมองเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยเฟดในรอบ ธ.ค. ยังอยู่ที่ 0.50% (ด้วยความน่าจะเป็น 80.6% ลดลงจากวันก่อนหน้าที่ 85.4% เพียงเล็กน้อย) แสดงให้เห็นว่าตลาดไม่ได้ถึงกับตกใจหรือปรับมุมมองคาดการณ์ดอกเบี้ยในอนาคตไปจากเดิมมากนัก 

 

สรุปผลประกอบการ บจ.ไทยรายงานกำไรไตรมาส 3/65 ที่ 227,337 ล้านบาท -33% QoQ, +11% YoY กำไรที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยหลักมาจากผลการดำเนินงานกลุ่มพลังงานที่พลิกเป็นมีขาดทุนจากสต็อคน้ำมันดิบ ขณะที่การปรับดีขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเปิดเมือง ทั้งโรงแรม, ขนส่ง (การบิน), ห้างสรรพสินค้า, ธนาคาร, ค้าปลีก เป็นต้น
 

 

ตลาดเริ่มหมุนกลุ่มไปยังเปิดเมืองที่ยังฟื้นน้อยอย่างค้าปลีก เริ่มเห็นแรงทำกำไรในกลุ่มท่องเที่ยว การแพทย์ และวันนี้อาจรวมถึงพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบปรับลดลงแรง อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มหมุนกลุ่มเก็งกำไรมายังค้าปลีก เนื่องจากเข้าช่วงเวลาฟื้นตัวในไตรมาส 4/65 และอานิสงค์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ที่น่าจะทำให้คนใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น ซึ่งบวกต่อสินค้าและบริการของ CPALL, MAKRO, SNNP, PM, CBG, OSP เป็นต้น

 

ประเด็นลงทุนที่น่าสนใจ 1) ฟื้นตัวจากเศรษฐกิจและเปิดเมือง BBL, SCB, MINT, SPA, VRANDA, TNR, KISS, CPN, CRC, CPALL, MAKRO  2) การขายไฟพลังงานมทดแทน 5200MW GULF, GUNKUL, BCPG, SSP 3) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรผ่านจุดสูงสุด ADVANC, EGCO, RATCH 4) อสังหาริมทรัพย์ SPALI, AP, LH, ASW 5) หุ้นเข้า MSCI (มีผล 30 พ.ย.) BAM, ERW, JWD, NEX, RAM 6) มีโอกาสเข้า SET50 ได้แก่ DELTA, RATCH, COM7, CENTEL 

 

ภาพรวมกลยุทธ์: อาจผันผวนจากการปรับพอร์ตระยะสั้น มีแนวรับ 1,605 จุด แต่ยังมองบวกภาพระยะ 3-6 เดือน ซึ่งหากผ่าน 1,655 จุด จะทำให้ภาพทางเทคนิคเปลี่ยนแปลงไปเป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญ กลยุทธ์ในภาพใหญ่ไม่เปลี่ยน คือ เน้นกลุ่มหุ้นเปิดเมือง และบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ //หุ้นแนะนำ: ADVANC*, SCGP*, DMT*, CPALL*

แนวรับ: 1,605 / แนวต้าน : 1,623 และ 1,628 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 4.2% ในเดือนต.ค. - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 4.2% สู่ระดับ 1.425 ล้านยูนิต แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.410 ล้านยูนิต 

สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด - ลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ราย

บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 2 ปี พุ่งทะลุ 4.4% ส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย - อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

อาลีบาบารายงานกำไรดีกว่าคาด – BABA รายงานกำไรไตรมาส 3/65 มี EPS ที่ 12.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ (+10.1% QoQ, +15.4%) ดีกว่าคาดการณ์ที่ 11.74 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่มีรายได้ 207.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+0.8% QoQ, +3.2% YoY)) ต่ำคาดการณ์ที่ 208.52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เล็กน้อย และประกาศซื้อหุ้นคืออีก 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อรวมจากที่เหลือของการอนุมัติครั้งก่อน ทำให้มีวงเงินซื้อหุ้นคืนรวม 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ปิดที่ 84.26 ดอลลาร์สหรัฐฯ +7.8% และน่าจะส่งผลบวกต่อการปรับขึ้นของหุ้น 9988 ในตลาดฮ่องกง และ BABA80 ที่เป็น DR ที่จดทะเบียนในไทย

ก.ล.ต.ให้บล.หยุดประกอบกิจการชั่วคราว - จากการที่ก.ล.ต.ตรวจพบว่า บล.เอเชีย เวลท์ จำกัด มีการนำเงินของลูกค้าที่อยู่ในความครอบครอง ไปชำระเป็นค่าซื้อหลักทรัพย์กับสำนักหักบัญชี โดยลูกค้าไม่ได้มีคำสั่ง 157.99 ล้านบาท ซึ่งอาจเสียหายร้ายแรงต่อทรัพย์สินลูกค้า คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) มีมติให้บริษัทคืนเงินลูกค้าภายใน 20 พ.ย. และระงับการประกอบธุรกิจเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 18 พ.ย. เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะนำเงินลูกค้ามาคืน และได้รับอนุญาตจากก.ล.ต.ให้ประกอบธุรกิจได้ตามปกติ 

หุ้นที่มีโอกาสเข้าเกณฑ์ Cash Balance – ได้แก่ KLINIQ

 

ประเด็นติดตาม: 18 พ.ย. –US Existing Home Sales / 20 พ.ย. – TH GDP Q3 / 23 พ.ย. – FOMC Meeting Minutes, US Building Permits, US New Home Sales, Initial Jobless Claims,

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)