กำไรบจ. 9 เดือน 6.8 แสนล้าน ลดลง 5.4 % ผลกระทบธุรกิจน้ำมัน-ปิโตร

กำไรบจ. 9 เดือน 6.8 แสนล้าน ลดลง 5.4 %  ผลกระทบธุรกิจน้ำมัน-ปิโตร

บจ. SET งบ 9 เดือน รายได้โต 7.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สอดคล้องกับ GDP ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยจากธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมันและปิโตรเคมีภัณฑ์จากราคาน้ำมันที่ลดลง หากไม่รวมธุรกิจดังกล่าว ภาพรวมกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

       นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) 810 บริษัท คิดเป็น 98.8% จากทั้งหมด 820 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และงบการเงินไม่ตรงรอบปีปฎิทิน) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 617 บริษัท คิดเป็น 76.2% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

        กำไรบจ. 9 เดือน 6.8 แสนล้าน ลดลง 5.4 %  ผลกระทบธุรกิจน้ำมัน-ปิโตร

           ผลดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 13,174,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 8.8% และ 10.0% ตามลำดับ ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,206,922 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 686,492 ล้านบาท ลดลง 2.1% และ 5.4% ตามลำดับ

          ทั้งนี้  หากพิจารณาในกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) บจ. จะมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.0% 13.2% และ 8.4% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.54 เท่า ลดลงจาก 1.60 เท่า

     

ผลประกอบการ

อัตราการเติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (%yoy)

งวด 9 เดือนแรกของปี 2567

ยอดขาย

กำไรจากการดำเนินงาน

กำไรสุทธิ

บจ. ทั้งหมดใน SET

7.8%

(2.1%)

(5.4%)

- บจ. ธุรกิจทั่วไป

11.0%

13.2%

8.4%

- บจ. ธุรกิจน้ำมัน

4.6%

(19.8%)

(32.3%)

บจ. ทั้งหมดใน mai

5.9%

31.0%

27.2%

 

 

       “การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลบวกให้ บจ. ไทยที่ทำธุรกิจด้านการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม อีกทั้งธุรกิจการเงิน ยังเติบโตได้ดีจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในไตรมาส 3 ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีได้รับผลกระทบ และส่งผลให้ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรก แม้รายได้ยังเติบโต แต่มีกำไรสุทธิลดลง” นายอัสสเดชกล่าว

       ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวด 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงเติบโต โดยมียอดขายรวม 155,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% ขณะที่ บจ. ควบคุมต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และ 27.2% ตามลำดับ

      

          นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 213บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 220 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดย 9 เดือน ปี 2567 พบ บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 151 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

         ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2567 ของ บจ. mai เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขาย 155,843 ล้านบาท และต้นทุนขาย 115,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% และ 4.2% ตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 40,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 29,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และ 27.2 % ตามลำดับ และหากพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไร พบว่า บจ. ยังคงความสามารถในการทำกำไรดี โดยมี Gross Profit Margin  Operating Profit Margin และ Net Profit Margin อยู่ที่ระดับ 26.0% 7.3% และ 4% เพิ่มขึ้น 1.1% 1.4% และ 0.6% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ

         “ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ของ บจ. ใน mai ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก บจ. ทำผลประกอบการสะสมมาได้ดี หากแต่งวดไตรมาสที่ 3 เริ่มเห็นการเติบโตน้อยลง โดยมียอดขายและกำไรจากการดำเนินงานเติบโตเพียง 3.9% และ 4.9% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณางวด 9 เดือน ตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ายอดขายเติบโตในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรที่มียอดขายลดลง โดย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ” นายประพันธ์กล่าว

          ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 329,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากสิ้นปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.78 เท่า เท่ากับปี 2566