การแข็งค่าของเยนอาจกระทบหุ้นโลกจากการปรับสถานะ carry trade ระยะสั้น
ธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับเพิ่มกรอบการเคลื่อนไหวผลตอบแทนพันธบัตร ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สร้างความประหลาดใจให้ตลาดโดยการขยับกรอบการควบคุมผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control: YCC) ขึ้นไปที่ +0.50% (จากเดิมสูงสุด +0.25%)
ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรทราบคือ 1) อาจทำให้ตลาดระยะสั้นผันผวน เนื่องจาก BOJ เป็นธนาคารกลางขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายที่เริ่มขยับนโนยบายให้ตึงตัวมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดกังวลแรงกระเพื่อมต่อตลาดเงินตลาดทุน เนื่องจากการกลับสถานะการกู้ยืมเงินเยนไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่น (Yen Carry Trade) 2) ในทางพื้นฐาน ผลกระทบของการปรับกรอบ YCC น่าจะส่งผลต่อญี่ปุ่นเอง มากกว่าตลาดโลก โดยผลดีจะอยู่กับหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีโอกาสขยับดอกเบี้ยและเพิ่มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) อย่างไรก็ตามจะส่งผลลบต่อผู้กู้เงิน จากต้นทุนดอกเบี้ยที่น่าจะสูงขึ้น 3) ในมุมของ Fund Flow ผลของเงินเยนที่อาจจะเริ่มแข็งค่า น่าจะทำให้ค่าเงินสหรัฐฯอ่อนค่าลง ซึ่งบวกต่อภาพรวมของทิศทางเงินทุนตลาดเกิดใหม่ 4) ในมุมของผลประกอบการบจ. เยนแข็งค่าเพิ่มอำนาจซื้อของญี่ปุ่น บวกต่อสินค้าส่งออกไปญี่ปุ่น อาทิ เนื้อไก่, การมาเที่ยวของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น รวมถึงเงินลงทุนที่จะเข้ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามจะเป็นลบกับผู้ที่มีหนี้สกุลเยน ซึ่งอาจจะอยู่ในกลุ่มโรงไฟฟ้า อาทิ RATCH และ SSP
ครม.อนุมัติชุดนโยบายของขวัญปีใหม่ มีนโยบายสำคัญที่อาจส่งผลบวกต่อบจ. ได้แก่ 1) ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2566 ลง 15% และลดค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท ลงเหลือ 0.01% บวกทางจิตวิทยาระยะสั้นต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 2) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินไอพ่นในประเทศเหลือ 0.20 บาท/ลิตร (จาก 4.726 บาท) ระหว่าง 1 ม.ค.-30 มิ.ย.66 บวกต่อกลุ่มสายการบินจากต้นทุนที่น่าจะลดลง 3) ช็อปดีมีคืน ให้สิทธิ์นำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีสำหรับซื้อสินค้าและบริการสูงสุด 40,000 บาท บวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL, MAKRO, HMPRO โดยอาจต้องระวังกลุ่มสินค้าไอทีที่งบช่วงไตรมาส 4/65 อาจจะอ่อนแอจากการชะลอการซื้อไปต้นปี อาทิ COM7, JMART, SYNEX, SIS, IT, SVOA เป็นต้น 4) เที่ยวด้วยกันเฟส 5 ครม.ให้กระทรวงท่องเที่ยวนำกลับไปแก้ให้อยุ่ในวงเงิน 4,000 ล้านบาท (จากที่ขอ 8,400 ล้านบาท) แปลว่าอาจเห็นการปรับลดขนาดโครงการ (ลดจำนวนสิทธิ์) หรือลดสัดส่วนเงินช่วยจากรัฐฯ (เช่นเหลือ 20% จาก 40%) อย่างไรก็ตามยังคงมองเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว
ประเด็นลงทุนที่น่าสนใจ 1) ฟื้นตัวจากเศรษฐกิจและเปิดเมือง BBL, SCB, MINT, SPA, VRANDA, TNR, KISS, CPN, CRC, CPALL, MAKRO, MAJOR 2) การขายไฟพลังงานทดแทน 5200MW GULF, GUNKUL, BCPG, SSP 3) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรผ่านจุดสูงสุด ADVANC, EGCO, RATCH 4) อสังหาริมทรัพย์ SPALI, AP, LH, ASW 5) หุ้นที่น่าสนใจอื่นๆ STP, TNR, DMT, TVDH, KLINIQ, FLOYD
ภาพรวมกลยุทธ์: อาจดีดตัวหลังวานนี้ลงแรง แต่การหลุด 1,618 ทำให้ความเสี่ยงทางลงเปิด โดยมีแนวรับ 1,600 และ 1,580 จุด กลยุทธ์ในภาพใหญ่ไม่เปลี่ยน คือ เน้นกลุ่มหุ้นเปิดเมือง และบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ สอดรับกับการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อาจจะ peak แล้ว จะบวกต่อการฟื้นของหุ้นปลอดภัย โดยเฉพาะไฟฟ้า (เสนอขายไฟฟ้าหมุนเวียนรอบใหม่) ปัจจัยเฝ้าระวังที่สำคัญคือ ตัวเลขส่งออก พ.ย.ที่จะออก 22 ธ.ค.อาจติดลบระดับ 15-20% //หุ้นแนะนำ: VRANDA, BGRIM, MAJOR, FLOYD
แนวรับ: 1,580-1,600 / แนวต้าน : 1,625-1,630 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
คลังคาดมาตรการของขวัญปีใหม่ดัน GDP โตเพิ่ม 0.76% - ช่วยให้มีการจับจ่ายใช้ ประมาณ 2.78 แสนล้านบาท และทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 66 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.76% จากคาดการณ์ปัจจุบันที่ 3.8%
ช้อปดีมีคืน เติมน้ำมันได้ –ประเมินว่าจะมีประชาชนร่วมโครงการ ประมาณ 1.4 ล้านราย สูญเสียรายได้ 6.2 พันล้านบาท แต่ช่วยให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 4.2 หมื่นล้านบาท
ครม. เห็นชอบใช้งบกลางปี 66 ส่วนลดค่าไฟงวดต.ค.-ธ.ค.65 - เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือน ต.ค.-ธ.ค.65 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน
หุ้น เข้า/ออก SET50 – เข้า (+) CENTEL, COM7, DELTA, RATCH / ออก (-) BLA, IRPC, KCE, SAWAD
หุ้น เข้า/ออก SET100 – เข้า (+) AAV, BYD, DELTA, JAS, NEX, SABUY, THG / ออก (-) AEONTS, MAJOR, STEC, SUPER, SYNEX, TASCO, TTA
Opportunity day: 21 ธ.ค. – DDD, STOWER, SEAOIL, VRANDA, TRC, KK, PL / 22 ธ.ค. – ECF, NNCL, SKE, SALEE, JSP / 23 ธ.ค. – NV, DUSIT, ARROW, FVC, DHOUSE, PTC, TKT
ประเด็นติดตาม: 21 ธ.ค. – US CB Consumer Confidence, US Existing Home Sales / 22 ธ.ค. – US GDP Q3 / 23 ธ.ค. – US Core PCE Price Index, US New Home Sales, US Core Durable Goods Orders / 28 ธ.ค. – US Pending Home Sales
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)