เลือกเก็งกำไรรายตัว เข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการ
ติดตามงบกลุ่มธนาคารและเลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2566 วันนี้กลุ่มธนาคารเริ่มรายงานผลประกอบการนำโดย TISCO ภาพรวมหากหนี้เสียและการตั้งสำรองอยู่ในระดับต่ำ คาดจะเป็นปัจจัยบวกให้หุ้นธนาคารอื่นๆมีโอกาสฟื้นตัว
ทั้งนี้ ภาพรวมของ SET ยังเป็นการสลับเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่มีปัจจัยบวกหรือผลประกอบการปี 2566 ฟื้นตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม 1) เปิดเมือง (เครื่องสำอาง/โรงภาพยนต์/ห้างสรรพสินค้า) 2) ค้าปลีก 3) นิคมอุตสาหกรรม 4) ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน 5) หุ้นที่มีปัจจัยบวกรายตัวอื่นๆ
ราคาสินค้าเกษตรมีโอกาสผันผวน จากการที่โปแลนด์และฮังการีแบนสินค้าเกษตรจากยูเครนเพื่อปกป้องเกษตรกรท้องถิ่น การปิดกั้นท่าเรือในทะเลดำและข้อตกลงผ่อนคลายการส่งออกที่จะหมดอายุ 18 พ.ค. (ซึ่งรัสเซียระบุว่าจะไม่ขยายเวลาผ่อนปรน) ทำให้สินค้าเกษตรของยูเครนประสบปัญหาในการส่งออก และผลผลิตจำนวนมากจำเป็นต้องผ่านเข้าประเทศเพื่อนบ้านอย่างโปแลนด์เพื่อไปท่าเรือทะเลบอลติค แต่ปัญหาสินค้าตกค้างในประเทศทำให้ทางโปแลนด์ห้ามการนำเข้าสินค้าเกษตรจากยูเครน จนกว่าจะมีระบบที่ยืนยันได้ว่าสินค้าจะผ่านไปยังประเทศอื่น ทั้งนี้ธัญพืชที่ยูเครนส่งออกมาก ได้แก่ น้ำมันดอกทานตะวัน ข้าวโพด ข้าวบาเลย์ และข้าวสาลี เราประเมินสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบทางลบต่อต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ และการผลิตอาหาร (CPF, BTG, NSL) อย่างไรก็ตามราคาอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น คาดบวกต่อราคากากถั่วเหลืองและ TVO
ยังมองธีมการลงทุนเป็นการหมุนออกจากดอกเบี้ยขาขึ้น เข้าสู่ดอกเบี้ยใกล้สูงสุด เรามองธีมการลงทุนที่น่าสนใจได้แก่ 1) เงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงและต้นทุนสินค้าต่างๆที่ชะลอลงตามราคาพลังงาน จะเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค ส่งผลบวกต่อหุ้นค้าปลีก 2) การเข้าใกล้จุดสูงสุดของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นปลอดภัย (Defensive) ทั้งหุ้นไฟฟ้า สาธารณูปโภค รวมถึงสื่อสาร 3) การย้ายฐานการผลิต เพื่อลดความเสี่ยงความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งกระแสการลงทุนใน EV บวกต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม 4) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ลดลง โดยมีหุ้นที่เราชอบ ได้แก่ CPALL, MAKRO, BJC, WHA, AMATA, ROJNA, PTG, OR, MAJOR, SPA, ERW, VRANDA, BGC, M, SORKON, SNP, BGRIM, GPSC, GULF, GUNKUL, ADVANC
ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัว 1,585-1,620 จุด แต่บรรยากาศเก็งกำไรรายตัวยังเป็นบวก ขณะที่การลงทุนเน้น selective buy กลุ่มที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนในปี 2566 และยังมีการถือครองที่ต่ำ (Underowned) โดยเฉพาะสาธารณูปโภคและค้าปลีก
หุ้นแนะนำ: ESSO*, WHAUP*, ROJNA*, BJC*
แนวรับ: 1,585 / แนวต้าน : 1,604-1,623 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มที่ขยายตัวแซงหน้าสหรัฐและยุโรปในปีนี้ - มอร์แกน สแตนลีย์เล็งเห็นว่า เอเชียมีแรงหนุนหลักจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง คาดเติบโต 5% ใน 2023
ECB อาจเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ – จนท. ECB มองว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยูโรโซนยังแตะระดับสูง 5.7% ในเดือน มี.ค. จึงทำให้การตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปต้องขึ้นกับกรอบการเคลื่อนไหวของกรอบเงินเฟ้อพื้นฐานต่อไป
TTB ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.20% ดอกเบี้ยกู้ 0.20 – 0.25% มีผลตั้งแต่ 5 เม.ย. –TTB ได้พิจารณาปรับดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ เพื่อให้สอดรับกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการออมเงิน เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น
BJC ยื่นไฟลิ่ง "บิ๊กซีฯ" ขาย IPO ราว 3,729.99 ล้านหุ้น – บิ๊กซีฯ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BJC เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) คิดเป็นไม่เกิน 29.98% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ประเด็นติดตาม: 18 เม.ย. – US Building Permits / 19 เม.ย. – EU CPI / 20 เม.ย. – US Existing Home Sales / 25 เม.ย. – US New Home Sales/ 26 เม.ย. – Core Durable Goods Orders
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)