วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (11 ก.ค. 66)
ราคาน้ำมันดิบปรับลง จากตลาดกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางตัวเลขทางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา
- ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง จากตลาดกังวลเศรษฐกิจถดถอย หลังผู้แทนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) หลายรายส่งสัญญาณว่า FED จะยังคงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกจนกว่าจะคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมาย ท่ามกลางตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยทางการสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในเดือนมิ.ย. ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบสองปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงที่เพิ่มขึ้น และอัตราการว่างงานที่ลดลง ทำให้ตลาดคาดว่า การประชุมเดือน ก.ค. FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง เป็นปัจจัยกดดันต่ออุปสงค์เชื้อเพลิงในตลาด
- วานนี้ (10 ก.ค.) สำนักงานสถิติจีน (NBS) เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือน มิ.ย. 66 ปรับลดลงกว่า 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยลดลงมากที่สุดในรอบ 7 ปี บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก กำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว
+ อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัว หลังซาอุดีอาระเบียประกาศขยายการลดกำลังการผลิตกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงเดือนส.ค. ขณะที่รัสเซียประกาศลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบกว่า 5 แสนบาร์เรลต่อวันไปจนถึงสิ้นปี คาดว่าปริมาณน้ำมันดิบทั้งหมดจากกลุ่ม OPEC+ จะปรับลดลงกว่า 5.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังตัวเลขการส่งออกน้ำมันเบนซินจากสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 7% ในรอบสัปดาห์ ขณะที่อุปทานในภูมิภาคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากกำลังการผลิตที่ฟื้นตัวหลังการซ่อมบำรุงโรงกลั่นในเกาหลีใต้
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลัง ARA ในยุโรป ปรับลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 ขณะที่อุปสงค์น้ำมันดีเซลในภูมิภาคยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น