วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เก็งกำไรรายตัว รอการเมืองชัดเจน
ตัวเลขเศรษฐกิจจีนยังเป็นปัจจัยกดดันหุ้นภาคการผลิตและกลุ่มปิโตรเคมี จีนรายงานตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวต่ำคาด ได้แก่ GDP ไตรมาส 2/66 ที่ +6.3% YoY ต่ำ(คาดการณ์ที่ +7.1% YoY) และยอดค้าปลีกมิ.ย.ที่ +3.1% (ต่ำคาดการณ์ที่ +3.3% YoY)
ตัวเลขเศรษฐกิจจีนสร้างความกังวลว่าจะฉุดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย อย่างไรก็ตามผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกระยะสั้นคาดว่าไม่รุนแรงเนื่องจาก 1) รมว.คลังสหรัฐฯ เจเนต เยลเลน มองว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นความเสี่ยง แต่จะไม่ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย 2) ตลาดจะเพิ่มคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีน น่าจะเพิ่มระดับของการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง 3) หุ้นจีนที่ได้มีความกังวลผลกระทบเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และที่เกี่ยวกับกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มที่เติบโตได้ดี อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นผลกระทบจะแตกต่างกันไป // สำหรับหุ้นไทย อาจต้องระวังการรายงานผลประกอบการกลุ่มปิโตรเคมี โดยเฉพาะ PTTGC ที่น่าจะยังเห็นผลขาดทุนระดับสูงในไตรมาสนี้
การเมืองเดินหน้าไปสู่โอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะมาจากเพื่อไทยสูงขึ้น การหารือ 8 พรรค ก่อนการโหวตนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมายืนยันหากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะมอบโอกาสให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล สถานการณ์ดังกล่าวนำไปสู่โอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะมาจากพรรคเพื่อไทยเพิ่มสูงขึ้น (พรรคก้าวไกลอาจร่วมรัฐบาล หรือหลุดเป็นฝ่ายค้าน) แม้ตลาดตอบรับเชิงบวกต่อทีมเศรษฐกิจและนโยบายของเพื่อไทยที่มีความเป็นมิตรต่อตลาดทุนมากกว่า แต่อาจต้องระวังความยืดเยื้อในการลงมติรอบที่ 3 อาจทำให้ตลาดกังวลการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้ากระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณ และการรายงานผลประกอบการบจ.ไตรมาส 2/66 ที่ผลประกอบการในภาพรวมอาจชะลอลงตามปัจจัยฤดูกาลจะทำให้ตลาดอาจยังต้องใช้เวลาในการผ่านแนวต้าน 1,535-1,550 จุด
ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัว 1,500-1,535 จุด กลุ่มอิงปัจจัยภายนอกเด่นในระยะสั้นจากความกังวลการเมืองยืดเยื้อกดดันหุ้นบริโภคและท่องเที่ยว ภาพระยะ 2 เดือน ในเชิงกลยุทธ์ ต้องกลับมาเน้นหุ้นที่โมเมนตัมกำไรเป็นบวก / Valuation ไม่แพง / ปันผลสูง (มี 1 หรือหลายข้อนี้รวมกัน) โดยภาวะ de-rating จะลดลงหลังการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโอกาสในการทยอยสะสม
หุ้นแนะนำ: CPN*, BAM*, AMATA*, SAMART*
แนวรับ: 1,517 / แนวต้าน : 1,535 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
เฟดนิวยอร์คเผยดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาด - Empire State Index โดยปรับตัวลงสู่ระดับ +1.1 ในเดือนก.ค. จากระดับ +6.6 ในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ดัชนีสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -4.3 โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน
จีนเผย GDP ไตรมาส 2/2566 ขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ – โดยขยายตัว 6.3% yoy ซึ่งแม้ว่าขยายตัวรวดเร็วขึ้นจากระดับ 4.5% ในไตรมาส 1 แต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 7.3% ส่วนอัตราว่างงานโดยรวมของจีนในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ระดับ 5.2% แต่อัตราว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งมีอายุระหว่าง 16-24 ปี อยู่ที่ระดับ 21.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
NUSA พีพีหมื่นล.แลก WEH ตลาดหลักทรัพย์ ปรับกฎเข้มแบ็กดอร์ - ออกหุ้นเพิ่มทุนเท่าตัว 1.3 หมื่นล้านหุ้น ให้ TONE ของกลุ่มกิตติอิสรานนท์ แลกหุ้น WEH 26.65% ส่งผล TONE เข้าถือหุ้นใหญ่ NUSA 50% ระบุรับประโยชน์จากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานลม Adder สูง ด้านตลาดหลักทรัพย์ รับกำลังปรับเกณฑ์แบ็กดอร์ให้เข้มข้นเหมือนไอพีโอ ชี้ธุรกิจเปลี่ยนใหม่ต้องเข้มงวด
GUNKUL รุกเวียดนาม – เตรียมลงนามสัญญางานเคเบิลใต้น้ำ เกาะสีชัง มูลค่ากว่า 800 ลบ. กลางก.ค. เผยงานรับเหมา EPC ยังดีต่อเนื่อง ลุยประมูลงาน มั่นใจทั้งปีประมูลงานที่ 2.5 พันลบ. เดินหน้าโครงการพลังงานในเวียดนามเห็นโอกาส เพิ่มกำลังผลิต ปีนี้ผลงานดี โบรกหวังโครงการโรงไฟฟ้าหมุนเวียน
ประเด็นติดตาม: 18 ก.ค. - US Retail Sales / 19 ก.ค. - EU CPI, US Building Permits, Housing Starts / 20 ก.ค. - US Initial Jobless Claims, Exisiting Home Sales
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)