วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ PFund-REITs-IFF กอง REITs ที่เกี่ยวข้องกับนิคมอุตสาหกรรมดูน่าสนใจ
ประเทศไทยกำลังรอรัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมจนถึงขณะนี้ยังไม่ชัดเจนในประเด็นที่ว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
หลังจากที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับเสียงสนับสนุนในรัฐสภาเพียง 324เสียง ต่ำกว่าจำนวนขั้นต่ำ 376 เสียง (เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงทั้งหมดในสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา) เพื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น จึงต้องมีการลงมติใหม่อีกครั้งหลังจากนี้ เราคิดว่าถึงที่สุดแล้วประเทศไทยน่าจะได้ตัวนายกคนใหม่ และสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมาเพื่อบริหารนโยบายสำคัญ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
นิคมอุตสาหกรรมน่าจะได้อานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลใหม่
นอกจากพัฒนาการด้านบวกหลังจากที่ COVID-19 ระบาดมาแล้วสามปี เราคิดว่าประเทศไทยน่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในอีกสองสามปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญของรัฐบาลใหม่ในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมออกมาในปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากศักยภาพการเติบโตของประเทศไทยในระยะยาว เราคาดว่านิคมอุตสาหกรรมจะเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยผ่านกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาตินอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี โดยตั้งเป้าจะทำให้ประเทศไทยมีสถานะเป็น
ประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2579 ซึ่งภายใต้กลยุทธ์นี้มีความริเริ่มแบบ top-down ในหลายด้านโดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและคน เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้กับประเทศที่รวยกว่า และมีเศรษฐกิจที่อิงกับพื้นฐานความรู้มากกว่า
กลยุทธ์หลักที่เรียกว่า “Thailand 4.0” มีเป้าหมายจะปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศที่เน้นนวัตกรรม และอุตสาหกรรมที่อิงตามมูลค่า (value-based) โดยจะเน้นใน 12 ด้าน เช่น automation และ robotics, การบินและ logistics, เชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) และ biochemicals และดิจิทัล ดังนั้น การพัฒนาโครงการ Eastern Economic Corridor (EEC) จึงนับเป็นหัวใจสำคัญของ Thailand 4.0 โดย EEC เป็นความริเริ่มในการพัฒนาแบบที่อิงกับพื้นที่ (area-based) ซึ่งเน้นไปที่สามจังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ดังนั้น เราคาดว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะได้อานิสงส์จากการพัฒนาในอนาคตหลังจากที่ตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว
เรายังคงเลือก WHAIR และ AMATAR เป็นกองเด่นของเรา
จากแนวโน้มกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่น่าสนใจมากขึ้นในระยะยาว เรายังคงมองบวกกับกองทุนที่เกี่ยวข้องกับธีมนี้ โดยเรายังคงเลือก WHAIR และ AMATAR เป็นกองเด่น เนื่องจากจะได้โมเมนตัมด้านบวกจากการพัฒนา EEC ในขณะที่คาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูง (>7% ต่อปี) ทั้งนี้ WHAIR ได้เข้าไปลงทุนในโครงการลงทุน 160 ยูนิต ซึ่งมีพื้นที่ปล่อยเช่าสุทธิ (net leasable area) 428,818 ตารางเมตร ในจังหวัดชลบุรี ระยอง สระบุรี และปราจีนบุรี ณ สิ้นปี 2565 ในขณะที่ AMATAR เข้าไปลงทุนในอาคาร 88 แห่ง ซึ่งมีพื้นที่เช่า (rental area) รวม 160,586 ตารางเมตร ในจังหวัดชลบุรี และระยอง ณ สิ้นปี 2565
Recommendation
เรายังคงกองเด่นเอาไว้เหมือนเดิม ประกอบด้วย i) กองทุนแถวหน้าที่เราแนะนำ ซึ่งได้แก่ DIF, WHAIR และ AMATAR และ ii) กองทุนระดับรอง ซึ่งได้แก่ ALLY, GROREIT, CPNREIT และ BTSGIF
Risks
COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัวลง, การเมืองขาดเสถียรภาพ