วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.เคจีไอฯ TOP ประเด็น ESG เป็นความท้าทายของกรณีน้ำมันรั่ว

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.เคจีไอฯ TOP ประเด็น ESG เป็นความท้าทายของกรณีน้ำมันรั่ว

เกิดกรณีน้ำมันรั่วที่บริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 (Single Buoy Mooring 2: SBM-2) ของ TOP

น้ำมันรั่วที่ SBM-2 เมื่อสองวันที่แล้ว

เมื่อวันที่ 3 กันยายน ประมาณ 21.00 น. เกิดเหตุน้ำมันรั่วประมาณ 50,000 – 100,000 ลิตร ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบที่ SBM-2 จากนั้นบริษัทได้เข้าควบคุมสถานการณ์บริเวณที่เกิดเหตุทันที โดยได้ทำการปิดวาล์วท่อน้ำมันที่เชื่อมกับ SBM-2 โดยบริษัทได้มีการวางทุ่นล้อมคราบน้ำมัน (oil boom) รอบเรือบรรทุกน้ำมันอยู่แล้ว ทำให้ปริมาณน้ำมันที่รั่วส่วนใหญ่ถูกกักเก็บไว้ใน oil boom พร้อมทั้งมีการเตรียมสารเคมี เพื่อขจัดคราบน้ำมันและป้องกันการลุกลามของน้ำมันในทะเล สำหรับปริมาณน้ำมันรั่วส่วนที่เหลือ (คาดว่าจะมีปริมาณน้อย) กระจายอยู่ประมาณ 5 กม. จากพื้นที่ SBM-2 โดยในขณะนี้บริษัทสามารถคุม
สถานการณ์ได้แล้ว และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหารคาดว่าเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ และบริษัทมีประกันที่คุ้มครองความเสียหายดังต่อไปนี้

i) ความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์สิน: วงเงินคุ้มครองอยู่ที่ 255 ล้านดอลลาร์ฯ สำหรับอุปกรณ์ และ 761 ล้านดอลลาร์ฯ สำหรับสต็อกน้ำมันดิบ (ความรับผิดส่วนแรก 50 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อครั้ง) ซึ่งครอบคลุมมูลค่าของน้ำมันดิบที่เสียหายในในกรณีนี้ด้วย แต่เราคาดว่ามูลค่าความเสียหายจะต่ำกว่าความรับผิดส่วนแรก

ii) ความเสียหายอันเกิดจากธุรกิจหยุดชะงัก: วงเงินคุ้มครองอยู่ที่ 1,121 ล้านดอลลาร์ฯ (ความรับผิดส่วนแรก 60 วันต่อครั้ง)

 

 

iii) ความรับผิดต่อบุคคลที่สาม: วงเงินคุ้มครองอยู่ที่ 50 ล้านดอลลาร์ฯ (ความรับผิดส่วนแรก US$10,000 ดอลลาร์ฯ ต่อครั้ง) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการขจัดครบน้ำมันด้วย

iv) ความรับผิดต่อสิ่งแวดล้อม: วงเงินคุ้มครองอยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์ฯ (ความรับผิดส่วนแรก 1 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อครั้ง) ซึ่งครอบคลุมค่าชดเชยต่อบุคคลที่สามจากการสูญเสียรายได้เพราะน้ำมันรั่วกรณีนี้ด้วย

 

คาดว่าจะใช้เวลาซ่อม SBM-2 อย่างน้อยหนึ่งเดือน

เราคาดว่ากรณีน้ำมันรั่วของ TOP จะเกิดบริเวณสายส่งน้ำมันลอยน้ำ (floating hoses) ของ SBM-2 ดังแสดงใน Figure 1 ซึ่งคล้ายๆ กับกรณีน้ำมันรั่วของ PTT Global Chemical (PTTG.BK/PTTGC TB)* เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 ซึ่งเกิดจากความเสียหายที่วัสดุของสายส่งน้ำมันลอยน้ำ โดยในครั้งนั้น PTTGC ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการซ่อม, เปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ และกลับมาเปิดดำเนินการทุ่นผูกเรือกลางทะเล (Single Point Mooring: SPM) ได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกันกรณีน้ำมันรั่วของ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 เกิดจากการรั่วไหลของอุปกรณ์ใต้ทะเล ทำให้การซ่อมแซมยากกว่า และกระบวนการขออนุญาตหน่วยงานทางการเพื่อดำเนินการซ่อมแซมมีความเข้มงวดมากกว่า ทั้งนี้ SPRC คาดว่าจะกลับมาเปิดดำเนินงาน SPM ได้อีกครั้งภายใน 4Q66F ซึ่งหมายความว่าน่าจะใช้เวลาซ่อมนานถึงเกือบสองปี

 

 

Valuation

เราคาดว่าต้นทุนในการดำเนินงานโรงกลั่นของ TOP จะสูงขึ้นประมาณ US$1/bbl เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการขนส่งน้ำมันแบบ ship-to-ship เพราะบริษัทมีแผนจะใช้ SBM-1 (capacity ต่ำกว่า) แทนในช่วงที่มีการซ่อม SBM-2 นอกจากนี้ เรายังประเมินว่าต้นทุนการดำเนินงานของ TOP ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ US$1/bbl เป็นเวลาหนึ่งเดือน จะกระทบกับประมาณการกำไรของเราประมาณ 250 ล้านบาท (ประมาณ 2% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา) และจะกระทบกับราคาเป้าหมายของเราประมาณ 0.50 บาท/หุ้น (ประมาณ 1% ของราคาเป้าหมายของเรา) ทั้งนี้เนื่องจากเรามองว่า downside จากกรณีน้ำมันรั่วค่อนข้างจำกัด ดังนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำซื้อ TOP โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2566F ที่ 62.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 6.5x แต่เราถอด TOP ออกจากรายการหุ้นเด่นกลุ่มพลังงานของเรา เนื่องจากประเด็น ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของคะแนนทางด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เรายังเชื่อว่าราคาหุ้น TOP จะได้รับผลกระทบจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

 

Risk

ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ, GRM และ spread ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวมถึงกรณีน้ำมันรั่วเมื่อวันที่ 3 กันยายน และการเลื่อนกำหนด COD ของโครงการ CFP จาก 3Q66 เป็นปี 2568

 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.เคจีไอฯ TOP ประเด็น ESG เป็นความท้าทายของกรณีน้ำมันรั่ว

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.เคจีไอฯ TOP ประเด็น ESG เป็นความท้าทายของกรณีน้ำมันรั่ว