วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ความไม่สงบในอิสราเอลกระทบการลงทุนระยะสั้น
การจ้างงานนอกภาคเกษตรสูงกว่าคาดแต่อาจไม่น่ากังวลเมื่อกระบวนการเงินเฟ้อลดลงยังดำเนินไปต่อเนื่อง สหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payroll) ก.ย. ออกมาที่ 336,000 ตำแหน่ง สูงกว่าคาดการณ์ที่ 170,000 ตำแหน่ง
และเร่งตัวขึ้นจาก ส.ค.ที่ 187,000 ตำแหน่ง ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนในทางลบทันที ก่อนที่จะฟื้นมาปิดบวก สาเหตุที่ตลาดไม่ได้ตอบรับแย่ต่อการจ้างงานนอกภาคเกษตร เราประเมินว่ามาจากกระบวนการที่เงินเฟ้อกำลังลดลง (Disinflation) ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง สังเกตจาก 1) ค่าจากรายชั่วโมง กำลังเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง (+0.2% MoM และ +4.2% YoY เทียบกับ ส.ค.ที่ +0.2% MoM และ +4.3% YoY) 2) อัตราการว่างงานออกมาที่ 3.8% (สูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.7% และสูงกว่า ส.ค.ที่ 3.8%) 3) การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นมากมาจาก Leisure and hospitality และ Private education and health services ซึ่งบางส่วนมาจากปัจจัยด้านฤดูกาล ขณะเดียวกันค่าจ้างเองก็เพิ่มขึ้นในทิศทางที่ชะลอลง// ดังนั้นโดยรวมตลาดน่าจะประเมินว่าเงินเฟ้อยังอยู่ในเส้นทางของการทยอยลดลง
เหตุความไม่สงบในอิสราเอลกระทบจิตวิทยาระยะสั้น แต่ในมุมบวกคืออาจลดโอกาสเพิ่มดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางระลอกใหม่เกิดขึ้นจากกลุ่มชาวยิวขวาจัดจำนวนมากบุกเข้าไประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในมัสยิด อัล อักซอ ในวันที่ 6 ต.ค. ส่งผลให้ทางกลุ่มฮามาสตอบโต้ด้วยปฏิบัติการ อายุ อัล อักซอ (Al-aqsa storm) ยิงจรวดราว 2,500 ลูก ถล่มอิสราเอลตอนใต้ และมีการบุกโจมตีฐานที่มั่นทางทหาร และจับตัวประกันทั้งทหารและพลเรือน สถานการณ์ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เรามีมุมมองต่อสถานการณ์ในอิสราเอลดังนี้
1) คาดเป็นปัจจัยลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น 2) ราคาน้ำมันอาจปรับขึ้นระยะสั้น ทดสอบ 85-90 ดอลลาร์ฯ แต่ไม่กระทบอุปทานอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จากจากพื้นที่ขัดแย้งและใกล้เคียง มีเพียง 7.2 แสนบาร์เรล/วัน 3) ในมุมบวก ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 4) กรณีเลวร้าย ความขัดแย้งลุกลามไปในภูมิภาค จะกระทบต่อการส่งน้ำมันผ่านคลองสุเอส และท่อส่งน้ำมัน Sumed มีโอกาสที่น้ำมันจะปรับขึ้นไปถึง 100-125 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล แต่เรามองโอกาสเกิดขึ้นต่ำ
ภาพรวมกลยุทธ์: อยาในขุดที่อาจจะยังไม่กลับตัว แต่มีโอกาสฟื้นตัว โดยมีแนวต้าน 1,477 และ 1,490 จุด ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายไทย-สหรัฐฯ ที่กว้าง จะยังเป็นปัจจัยกดดันเงินทุนไหลออกที่กระทบหุ้นใหญ่ ทำให้การลงทุนจะอยู่ในรูปของการเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็ก หรือกลุ่มที่มีแนวโน้มผลประกอบการชัดเจน ช่วงสั้นกลุ่มท่องเที่ยวอาจชะลอเพื่อดูผลกระทบเหตุการณ์กราดยิงที่มีต่อโมเมนตัมนักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศ
หุ้นแนะนำ: EA*, COCOCO*, ESSO*, CPF*
แนวรับ: 1,420-1,430 / แนวต้าน : 1,450 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรสูงกว่าคาดการณ์ - ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 336,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 170,000 ตำแหน่ง นับเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.8% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7% ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4.2% yoy ในเดือนก.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.3% yoy หรือเพิ่มขึ้น 0.2% mom ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% mom
AH อีวีดันเร่งกวาดยอดขายเอ็มจีแรง - อุตสาหกรรมยานยนต์คึกคัก ปีหน้าถึงเวลาผลิตอีวีในประเทศ รับออเดอร์เข้าล่วงหน้า 12 เดือน ดันกำลังผลิตปีหน้าเต็ม 100% ชูดีมานด์ใช้งานอีวีเพิ่ม แย้มเป็นตัวแทนจำหน่าย MG ยอดแรง ตลาดต่างประเทศดี ทั้งปีรายได้โต 10-15%
III เข้าไฮซีซั่น – มอง 4Q23 คาดว่าธุรกิจโลจิสติกส์ โตได้ดี เข้าสู่เทศกาลไฮซีซันของการท่องเที่ยว และธุรกิจขนส่ง เตรียมนำบริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI เข้าระดมทุน อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วงเวลาเสนอขายที่เหมาะสม
HMPRO ลุ้น Q4 ทำนิวไฮ”– ลุ้น 4Q23 กำไรทำจุดสูงสุดของปีนี้ รับแรงหนุนเข้าไฮซีซั่นธุรกิจ และจัดงานเอ็กซ์โปหนุนยอดขายจากสาขาเดิมเติบโต บุ๊กรายได้ 11 สาขาใหม่เต็มปี หนุนทั้งปี 2023 รายได้รวม 74,209.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% และมีกำไรสุทธิ 6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% yoy
ประเด็นติดตาม: 9 ต.ค. – TH Consumer Confidence/ 11 ต.ค. – CH New Loans, US PPI/ 12 ต.ค. – US CPI, US Initial Jobless Claims/ 13 ต.ค. – CH PPI, US Michigan Consumer Sentiment
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)