วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ คาดหวังผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
ปัจจัยหลักยังเป็นการติดตามเหตุการณ์ที่จะมีผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ โดยเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่
1) การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (1 พ.ย.) ซึ่งเราคาดเฟดคงดอกเบี้ย และไม่น่าส่งสัญญาณตึงตัวเพิ่ม 2) แผนออกพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ (1 พ.ย.) ซึ่งตลาดกังวลการขาดดุลของสหรัฐ และความจำเป็นในการทำสงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง อาจทำให้สหรัฐฯ ต้องออกพันธบัตรเพิ่ม ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันให้ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่หากแผนออกพันธบัตรไม่ได้เปลี่ยนแผลงมาก หรือสถานการณ์ตะวันออกกลางดีขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรอาจเริ่มชะลอลง ตามแนวโน้มของการชะลอของเงินเฟ้อ (Disinflation) ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงได้
เลือกเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มที่มีลุ้นผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด แม้เราจะชอบหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง อาทิ นิคมอุตสาหกรรม, ท่องเที่ยวและการแพทย์ แต่ในเชิงกลยุทธ์ เรามองหุ้นในกลุ่มที่ผลประกอบการมีโอกาสผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสนี้ ปรับลดลงมาจนอยู่ในจุดที่น่าสนใจและสามารถจำกัดความเสี่ยงในการเข้าเก็งกำไรได้ง่าย อาทิ MAJOR (กำไรไตรมาส 3/66 เป็น low season และจะฟื้นในไตรมาส 4/66), SCGP (ผลประกอบการอยู่ในจุดมีลุ้นฟื้นตัวเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ทยอยปรับลดลง), PTTGC (กำไรไตรมาส 3/66 มีโอกาสดีกว่าตลาดคาด จากกำไรธุรกิจโรงกลั่นที่มาช่วย) เป็นต้น // สำหรับ COCOCO กำไรไตรมาส 3/66 อาจไม่โดดเด่นเพราะกำลังการผลิตติดเพดานและค่าใช้จ่ายในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่น่าจะเริ่มเห็นผลดีของกำลังการผลิตที่ขยายในช่วงไตรมาส 4/66 ทำให้การปรับลดลงในช่วงนี้ น่าจะเป็นโอกาสเข้าลงทุน
ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัว โดยมี downside 1,350-1,380 จุด แต่ลุ้นจุดเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มีโอกาสชะลอลงหลังสัปดาห์นี้ จะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงปลายปี ช่วงสั้นระวังแรงทำกำไรในกลุ่มที่ Outperform มากตั้งแต่ต้นปี ภาพการเก็งกำไรยังเน้นกลุ่ม valuation ไม่แพงและปันผลสูงจะเริ่มมี downside จำกัด
หุ้นแนะนำ: MAJOR*, SCGP*, PTTGC*, COCOCO*
แนวรับ: 1,350-1,380 / แนวต้าน : 1,400 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ - ดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 3.7% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 3.8% ในเดือนส.ค.นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงิน และเพิ่มน้ำหนักในการคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ที่เป็นการประชุมนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายในปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ตลาดเอเชียรอการตัดสินใจของธนาคารกลางของญี่ปุ่นและอัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ - ตลาดเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มลดลงล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ก่อนประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทั่วภูมิภาค ทั้งประกาศเกี่ยวกับนโยบายการเงินจากญี่ปุ่นและมาเลเซีย ข้อมูลเงินเฟ้อจากเกาหลีใต้ และตัวเลขการเติบโตมวลรวมภายในประเทศจากไต้หวันและฮ่องกง ถือเป็นไฮไลท์ประจำภูมิภาคประจำสัปดาห์นี้ (ซีเอนบีซี)
DELTA PTTEP แจ้งผลประกอบการ - บริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการ งวดไตรมาส 3 สิ้นสุด กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 5.43 พันลบ สูงกว่าตลาดคาด ส่วน PTTEP กำไรสุทธิลดลงเหลือ 1.81 หมื่นลบ. เป็นไปตามคาด (อินโฟเควสท์)
ORN เข้าเทรดวันนี้ – ORN ประกอบธุรกิจการลงทุนถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักเกี่ยวกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก (IPO) จำนวน 406.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.49 บาท (ประชาชาติ)
ประเด็นติดตาม: 30 ต.ค. – China PMI / 31 ต.ค. – EU CPI, US – CB Consumer Confidence / 1 พ.ย. - US Nonfarm Employment Change, PMI, JOLTs Job Openings, Fed Interest Rate Decision, FOMC Press Conference / 2 พ.ย. - Initial Jobless Claims
(
* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)