วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ ENERGY SECTOR OPEC+ จะเริ่มถอนการลดอุปทานตั้งแต่เดือนตุลาคม
ตลาดน้ำมันดิบ: OPEC+ จะเริ่มถอนการลดอุปทานโดยสมัครใจ 2.2 MBD จากเดือนตุลาคมเป็นต้นไป เราปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2567F/2568F จาก US$75/70/bbl เป็น US$81/75/bbl
หลังจากที่ OPEC+ ตกลงที่จะขยายเวลาการลดอุปทานโดยสมัครใจ i) 3.66 MBD จากเดิมถึงสิ้นปีนี้ เป็น
สิ้นปี 2568 และ ii) 2.2 MBD จากเดิมสิ้นเดือนมิถุนายน 2567 เป็นสิ้นเดือนกันยายน 2567 ในขณะเดียวกัน
เรายังคงสมมติฐานระยะยาวไว้ที่ US$70/bbl แต่อย่างไรก็ตาม OPEC+ มีแผนจะทยอยถอนการลดอุปทาน
โดยสมัครใจ 2.2 MBD จากเดือนตุลาคม 2567 - กันยายน 2568 ซึ่งคาดว่าจะมีน้ำมันดิบมากกว่า 500 KBD
กลับเข้ามาในตลาดภายในเดือนธันวาคม 2567 นักลงทุนมองผลการประชุม OPEC+ รอบล่าสุดในเชิงลบ
เพราะจะมีอุปทานเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคต ส่วนในประเด็นความไม่แน่นอนของสถานการณ์
ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง นักลงทุนควรต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับแผนสงบศึก
ที่กาซา ซึ่งเสนอโดยคนกลางได้แก่ กาตาร์ อียิปต์ และสหรัฐ หลังจากที่ Hamas มองบวกกับการเจรจา
หยุดยิงกับอิสราเอลในสัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายน แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่ม Hezbollah ของเลบานอน
ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Hamas ที่มีอิหร่านหนุนหลังอยู่ยังคงยิงจรวดเข้ามาที่ตอนเหนือของอิสราเอลเพื่อแก้
แค้นกรณีการสังหารผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในขณะที่กองกำลัง Houthi ยังคงโจมตีกองเรือในทะเลแดง
ร่วมสู้ไปกับชาวปาเลสไตน์
ตลาดโรงกลั่น: โรงกลั่นได้รับผลกระทบจากช่วง Low season ในไตรมาสที่สอง
เราปรับลดสมมติฐาน spread ของน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลในปี 2567F ลง 10-15% เหลือ US$17.0/18.0/bbl เพราะ spread ของทั้งสองผลิตภัณฑ์ใน 2Q67 ต่ำกว่าที่เราคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เพราะ
มีอุปทานเหลือเฟือในเอเชียเนื่องจากอุปสงค์การนำเข้าจาก EU ลดลง และปริมาณน้ำมันของรัสเซียสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เราปรับเพิ่มสมมติฐาน spread น้ำมันเบนซินปีนี้ขึ้นอีก 8% เป็น US$14.0/bbl เพราะการผลิตน้ำมันเบนซินสะดุดจากพายุฤดูหนาวที่สหรัฐใน 1Q67 ทำให้ spread สูงกว่าคาด
ในขณะเดียวกันเรายังคงสมมติฐาน spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลปี 2568F เอาไว้เท่าเดิมที่ US$13.0/20.0/20.0/bbl เนื่องจากเราคาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น 1.0MBD ซึ่งสูงกว่ากำลังการผลิตใหม่ของโรงกลั่นทั่วโลกที่จะเพิ่มเข้ามา 0.6 MBD ในปีหน้า นอกจากนี้ เรายังคาดว่าค่าการกลั่นจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ QoQ ใน 2Q67F เพราะ i) spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลลดลง และ ii) ต้นทุน crude premium เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ spread ของน้ำมันเบนซิน QTD ลดลงมา 27%QoQ มาอยู่ที่ US$13.0/bbl หลังจากที่โรงกลั่นในสหรัฐกลับมาเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบจากที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศหนาวเฉียบพลันในเดือนมกราคม นอกจากนี้ spread ของน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซล QTD ยังลดลง 38% QoQ มาอยู่ที่ US$13.1/bbl และ 37% QoQ มาอยู่ที่ US$14.5/bbl ตามลำดับ เนื่องจากอุปสงค์สูงในช่วงฤดูหนาวหมดไป ในขณะเดียวกัน Murban crude premium ยังเพิ่มขึ้น US$0.5/bbl QoQ เป็น US$1.6/bbl ใน 2Q67 ด้วย
ตลาดปิโตรเคมี: ยังคงมองบวกกับ PE, PX, BZ แต่มองลบกับ PP ในปีนี้
เราคาดว่า spread ของ polyethylene (PE) จะทยอยฟื้นตัวขึ้นในปี 2567F เพราะจะมีอุปทาน PE ใหม่ลดลง
ทั้งนี้ตลาดคาดว่าจะมีอุปทาน PE ใหม่เพิ่มเข้ามา 3.5 MTA ในปี 2567F ลดลงจากที่เพิ่มเข้ามาถึง 7.0 MTA
ในปี 2566 ในขณะที่คาดว่าอุปสงค์ PE จะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านตันในปีนี้ เพิ่มขึ้น YoY จากที่เพิ่มขึ้น 1.7 พันล้านบาทในปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าตลาด polypropylene (PP) จะยังซบเซาในปีนี้ เพราะจะถูกกดดันจากอุปทาน PP ใหม่ก้อนใหญ่ที่จะเพิ่มเข้ามาถึง 6.7 MTA ในปี 2567F ซึ่งสูงกว่าอุปสงค์ PP ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.4 ล้านตันอย่างมาก ทั้งนี้ spread ของ HDPE และ PP ใน QTD ดีดตัวขึ้นมาเล็กน้อย 2% QoQ เป็น US$367/ton และ 1% QoQ เป็น US$368/ton ตามลำดับ แต่ถือเป็นระดับที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า US$550/ton)
ส่วนในตลาด aromatics นั้น spread ของ PX และ BZ ได้แรงสนับสนุนจากการที่อุปทานใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่ากำลังการผลิต PX จะเพิ่มขึ้นเพียง 0.9 MTA ในปี 2567F (ลดลง YoY จากที่เพิ่มขึ้น 8.7 MTA ในปี 2566) และคาดว่ากำลังการผลิต BZ จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.5 MTA ในปีนี้ (ลดลง YoY จากที่เพิ่มขึ้น 3.8 MTA ในปีที่แล้ว) ทั้งนี้ spread ของ PX และ BZ ใน QTD เพิ่มขึ้น 2% QoQ เป็น US$354/ton และ 17% QoQ เป็น US$370/ton ตามลำดับ เนื่องจากอุปทาน aromatics ตึงตัวขึ้นเพราะมีผู้ผลิตในเอเชียหลายรายปิดซ่อมบำรุงโรงงานใน 2Q67
Valuation and action
เรายังคงเลือก PTG เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงานในระยะสั้น
เราชอบกลุ่มสถานีบริการน้ำมัน เพราะกระทรวงพลังงานทยอยขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 0.50 บาท/ลิตร จนเป็น 32.94 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3.00 บาท/ลิตร จากเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม โดยราคาขายที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นบางส่วน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันในประเทศไทย เราชอบ PTG Energy (PTG.BK/PTGTB) มากกว่า PTT Oil and Retail Business (OR.BK/OR TB)* เพราะกำไรจากธุรกิจน้ำมันของ PTG คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของกำไรขั้นต้นของบริษัท ในขณะที่กำไรจากธุรกิจน้ำมันคิดเป็นเพียงประมาณ 65% ของกำไรขั้นต้นของ OR เท่านั้น นอกจากนี้ ปริมาณยอดขายน้ำมันดีเซลของ PTG ยังคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของปริมาณยอดขายน้ำมันทั้งหมด แต่ของ OR คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 45% เท่านั้น เพราะบริษัทขายน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันเตาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าตลาดจะกลับมากังวลเกี่ยวกับแผนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวันเป็น 400 บาท ในเดือนตุลาคมอีกครั้ง เมื่อคณะอนุกรรมการของแต่ละจังหวัดเสนอค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมของจังหวัดตัวเองให้คณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีในปลายเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ถ้าหากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน ทั่วประเทศ ผู้บริหาร PTG คาดว่าจะส่งผลกระทบกับบริษัท 0.06-0.07 บาท/ลิตร คิดเป็นเม็ดเงิน
300-350 ล้านบาท/ปี หรือ 23-26% ของประมาณการกำไรปี 2568F ของเราที่ 1.3 พันล้านบาท ดังนั้น
เราจึงแนะนำให้ลงทุนระยะสั้นใน PTG (แค่ช่วงสองเดือนระหว่างมิถุนายน - กรกฎาคม)
เราคาดว่าตลาดโรงกลั่นจะถูกกดดันใน 2Q67F จากปัจจัยฤดูกาล แต่อย่างไรก็ตาม spread ของน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลฟื้นตัวขึ้นเป็น US$14.3/bbl และ US$14.6/bbl ในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 10-25% จากเดือนพฤษภาคม ในขณะเดียวกันเราคาดว่า spread ของน้ำมันเบนซินจะได้แรงหนุนจากการเข้าสู่ช่วง driving season ในหน้าร้อนของสหรัฐในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่น โดยเฉพาะในปีหน้าซึ่งตลาดคาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น 1.0MBD ซึ่งสูงกว่ากำลังการผลิตใหม่ของโรงกลั่นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6 MBD ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำ Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)* จากถือเป็นซื้อ และคงคำแนะนำซื้อ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)*, Bangchak Sriracha (BSRC.BK/BSRC TB)* และ Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* ทั้งนี้สำหรับกลุ่มโรงกลั่น เราชอบ TOP มากที่สุดเพราะโครงการ Clean Fuel Project (CFP) ซึ่งคาดว่าจะเริ่ม COD ได้ใน 1H68F รองลงมาคือ BCP เพราะโครงการ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ซึ่งคาดว่าจะเริ่ม COD ใน 1H68F นอกจากนี้ เรายังรอการกลับมาเปิดดำเนินการ Single Point Mooring (SPM) นอกชายฝั่ง ซึ่งอาจจะล่าช้ากว่าที่ SPRC คาดไว้ใน 2Q67F โดยเรามองว่าการกลับมาเปิดดำเนินการ SPM จะเป็นปัจจัยกระตุ้นด้านบวกที่สำคัญของ SPRC.
ถึงแม้เราจะปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2567F-2568F แต่เรายังเป็นห่วงแผนของ OPEC+ ที่จะเริ่มทยอยถอนการลดอุปทานโดยสมัครใจ 2.2 MBD ระหว่างเดือนตุลาคม 2567- กันยายน 2568 ดังนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำถือ PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEPTB)* และ PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* นอกจากนี้ เรายังคงคำแนะนำถือ Banpu Pcl. (BANPU.BK/BANPU TB)* เพราะได้รับความสนใจน้อยลงจากนักลงทุนสถาบันที่เป็นห่วงธุรกิจถ่านหินในแง่ของประเด็นโลกร้อน แม้เราจะคาดว่าผลประกอบการจะดีดตัวขึ้น QoQ ใน 2Q67F เนื่องจากราคาถ่านหิน Newcastle เพิ่มขึ้นเป็น US$137/ton QTD (+7% QoQ) เพราะ i) สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในจีนและอินเดีย และ ii) ยอดผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในปีนี้ลดลง
เรายังไม่ชอบตลาด PP และ PET เพราะจะมีกำลังการผลิต PP ใหม่เพิ่มเข้ามาถึง 6.7 MTA และจะมีการผลิต PET ใหม่เพิ่มเข้ามาถึง 4.8 MTA ในปีนี้ ดังนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำถือ IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* และ Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB)* ในขณะเดียวกันเรายังคงคำแนะนำ ซื้อ PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC TB)* เนื่องจาก i) ต้นทุน feedstock ในการผลิต PE ลดลงใน 2H67F หลังจากที่แหล่งเอราวัณผลิตก๊าซเพิ่มขึ้น และ ii) คาดว่า spread ของ PE จะทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงปี 2567F-2569F แต่อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น PTTGC อาจจะถูกกดดันจากผลขาดทุนจากการด้อยค่าของ Vencorex และ PTT Asahi Chemical ใน 2Q67F-3Q67F