วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังมองสัปดาห์นี้ฟื้นจาก Windows dressing และ Short recovering

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังมองสัปดาห์นี้ฟื้นจาก Windows dressing และ Short recovering

เรามองบวกต่อ TESG ปรับปรุงใหม่ จากระยะเวลาลงทุนที่สั้นที่สุดเทียบกับการลงทุนลดหย่อนภาษีอื่น

เมื่อวานนี้ กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต. จัดงานแถลงข่าวร่วมกันเพื่อเปิดเผยมาตรการในการขับเคลื่อนตลาดทุน การแถลงข่าวแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่ 1) การทบทวนเศรษฐกิจ; 2) มาตรการส่งเสริมการออมและการลงทุน (กองทุน TESG ปรับปรุงใหม่); และ 3) มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน (ปรับปรุงกระบวนการกำกับดูแลและควบคุมการขายชอร์ตและการเทรดโปรแกรม) จุดเด่นของงาน คือการเปิดตัวกองทุน TESG ปรับปรุงใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อการออมภาษีสำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดาที่มีระยะเวลาถือครอง 5 ปี (เดิม 8 ปี) และมีวงเงินซื้อ 300,000 บาท (เดิม 100,000 บาท) เทียบกับ LTF กองทุน TESG ใหม่มีระยะเวลาถือครองเท่ากันแต่มีวงเงินซื้อน้อยกว่า (300,000 บาท เทียบกับ 500,000 บาท) แม้ว่าเราจะชอบ LTF มากกว่า แต่เรายังคงมองในเชิงบวกต่อกองทุน TESG ปรับปรุงใหม่และเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ประเด็นสำคัญ คือ ระยะเวลาการลงทุน (5 ปี) ซึ่งสั้นที่สุดในบรรดาการลงทุนลดหย่อนภาษีอื่น ๆ (สำหรับ SSF ต้องถือครอง 10 ปี ในขณะที่ RMF ต้องถือครอง 20-30 ปีจนถึงอายุ 55 ปี)
 

สัปดาห์สุดท้ายไตรมาส 2 มีโอกาสฟื้นตัวทั้งจาก Windows dressing และการซื้อคืน (Short recovering) หลังจำนวนหุ้นที่ขายชอร์ตได้ และเกณฑ์การขายชอร์ตที่จะเข้มข้นขึ้น สัปดาห์นี้เรามองมีโอกาสที่หุ้นไทยจะฟื้นตัวจากการ Window dressing ในหุ้นที่ปรับลดลงมาก ขณะเดียวกันการเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้ ที่จะมีจำนวนลดลง (เนื่องจากเกณฑ์ใหม่ market cap ของหุ้นต้องใหญ่ขึ้น เป็น 7,500 ล้านบาท จากเดิม 5,000 ล้านบาท) อีกทั้งการขายชอร์ตจะทำได้ยากขึ้นจากการเริ่มใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายสุดท้าย (uptick rule) คาดจะทำให้มีแรงซื้อคืนในหุ้นที่ยังมีสถานะชอร์ตที่ยังไม่ซื้อคืนสูง อาทิ EA, TOP, BEM, IVL, KTC, SPRC, COM7, TIDLOR, IRPC, MINT, CBG, OSP  
 

ภาพรวมกลยุทธ์  มีโอกาสฟื้นจากการเกิด short covering นักลงทุนทยอยแบ่งไม้ซื้อ ขณะที่นักเก็งกำไรเลือกหุ้นที่มีสถานะชอร์ตคงค้างเยอะ อาทิ TOP, AWC, COM7 // หุ้นเด่น (Top picks) สำหรับครึ่งปีหลัง 2567 ที่เราแนะนำคือ ADVANC, BSRC, BTG, CK, CPALL, CPF, KBANK, MTC, OSP, SCGP, TIDLOR และ TU

หุ้นแนะนำ: SYNEX*, SAMART*, BBGI*, BTG*

แนวรับ: 1,300-1,311 / แนวต้าน : 1,335 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ    

รมว.คลัง จ่อฟื้น “วายุภักษ์” เล็งชง ครม.2 สัปดาห์ปรับ ThaiESG ขยาย 3 แสนบาท-ถือ 5 ปี-เพิ่มจำนวนหุ้น กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ซึ่งหนึ่งในมาตรการสำคัญ คือการปรับเงื่อนไขกองทุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในปัจจุบันคือ ThaiESG ให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการสงเสริมให้เกิดการออม ผ่านการลงทุนในตลาดทุน และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ระดมทุนให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (อินโฟเควสท์)

คลังปรับ Thai ESG หนุนตลาดทุน ดึงเงินลงทุน 5 หมื่นล้านบาท คลังขับเคลื่อนตลาดทุน เคาะปรับเกณฑ์ Thai ESG ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิม 1 แสนบาท ระยะเวลาถือครอง 5 ปี เดิม 8 ปี ลงทุนหุ้นใน SET/MAI ด้าน ESG ครอบคลุมหุ้น 200 ตัว จากเดิม 128 ตัว คาดชง ครม. ในอีก 2 สัปดาห์ มีผลในปี 2567  (ผู้จัดการ)

ตลท.โชว์ 260 หุ้นผ่านเกณฑ์ uptick  จับตาหุ้นใหญ่ถูกซื้อกลับหลังเทียบปริมาณขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืนขึ้นแท่นสูงสุด  BANPU-EA-TOP-BEM และ IVL หุ้นไม่ผ่านเกณฑ์ถึง 74 หุ้น คาดหลังเปิดรายชื่อแรงซื้อกลับสัปดาห์นี้  ต้องระวังบางหุ้นมีการชอร์ตและซื้อกลับดันราคาหุ้น (กรุงเทพธุรกิจ)

 

จับตาประชุมบอร์ดการทางพิเศษฯ 25 มิ.ย.นี้ ลุ้นเคาะ “อิตาเลียนไทย” คว้าประมูลสร้างทางด่วนใหม่ สายจตุโชติ – ลำลูกกา 1.87 หมื่นล้าน คาดลงนามสัญญาปลายปีนี้ ปักหมุดก่อสร้าง 3 ปี พร้อมเปิดให้บริการปี 2571 (กรุงเทพธุรกิจ)

ORI-SPALI-SIRI เด่น รัฐเปิดทางต่างชาติซื้อ อสังหาฯมีปัจจัยบวกหลังรัฐบาลหนุนมาตรการขยายระยะเวลาเช่าที่ดินเป็น 99 ปี และเพิ่มอัตราส่วนการถือครองห้องชุดโครงการแนวสูงของชาวต่างชาติ (ทันหุ้น)

MGI ประกาศเพิ่มทุน 2.5 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ 10 บาท พ่วง MGI-W1 (อินโฟเควสท์)

 

ประเด็นติดตาม 27 มิ.ย. – โต้วาทีผู้ลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก / 28 มิ.ย. – US PCE / TH Industrial Production

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)