วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ SCGP อย่ากังวลกับกำไร 2Q67F มากเกินไป!
เราเชื่อว่ากำไรของ SCGP ที่ต่ำลงใน 2Q67F เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลเป็นหลัก, แผนปิดซ่อมบำรุงบางส่วนในหน่วยธุรกิจของ Fibrous (FB) และกำไร FX ต่ำลง
โดยวันที่ 23 ก.ค. นี้ SCGP น่าจะรายงานกำไรสุทธิชะลอตัวใน 2Q67F อยู่ที่ 1.43 พันล้านบาท (-4% YoY และ -17% QoQ) และกำไรหลักจะอยู่ที่ 1.45 พันล้านบาท (+1% YoY แต่ -14% QoQ) (ไม่รวมกำไร FX) หลัก ๆ เนื่องจาก EBITDA margin ต่ำลงในทั้งธุรกิจ integrated packaging unit (IPB) (75% ของยอดขาย) และธุรกิจ FB ทั้งนี้ เราคาดว่า EBITDAmargin โดยรวมจะต่ำลงอยู่ที่ 14.5% (เทียบกับ 15.3% ใน 1Q67)
คาดการดำเนินงานของทั้งธุรกิจ IPB และ FB ชะลอตัว
แม้ว่า SCGP พึ่งพิงแหล่งกระดาษรีไซเคิล (recycled paper หรือ RCP) ในประเทศถึง 60-70% ซึ่งราคาต่ำ
กว่าต่างประเทศ (ปกติใช้ราว 55% ของทั้งหมด) แต่การเพิ่มขึ้นของราคาตลาด RCP (+3% QoQ และ+39% YoY) ใน 2Q67F ได้ส่งผลลบต่อ margin เนื่องจากมีช่วงเหลื่อมเวลาราว 3-6 เดือนของกลไกการส่งผ่านต้นทุนไปราคาขาย ส่วนการปิดซ่อมบำรุงของ Phoenix Pulp & Paper (เป็นเวลา 2 สัปดาห์) ได้เพิ่มรายจ่ายขึ้นอีกราว 100 ล้านบาท พร้อมกับมีช่วงเทศกาลหยุดยาวในไทยและอินโดนีเซีย ทำให้สุทธิแล้วกำไรหลักจะลดลง QoQ แต่ทั้งนี้คาดกำไรหลักทรงตัว YoY เป็นผลจาก margin ของ IPB ต่ำลงและการปิดซ่อมบำรุงดังกล่าวข้างต้น แม้ว่าโมเมนตัมบวกของราคา dissolving pulp ยังดีต่อเนื่อง (+4% QoQ) แต่การดำเนินงานโดยรวมของ SCGP ยังเผชิญกับราคา RCP และอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้น ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในเวียดนามถือว่าน่าจะโดดเด่นกว่าตลาดอื่นๆ ใน 2Q67
แนวโน้มเป็นอย่างไร...?
กำไรของ SCGP ใน 2H67F ยังมีความหวังอยู่ นอกเหนือจากความสามารถในการปรับเพิ่มราคา, อุปสงค์ของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่คาดจะเร่งตัวใน 2H67 ด้วยแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ต่อเนื่อง (45% ของรายได้รวม), การฟื้นตัวขึ้นของประเทศจีน และการส่งออกของเวียดนามฟื้นตัว (15%) พร้อมกับประเทศอินโดนิเซีย (15%) ในแง่บวก SCGP จะได้ประโยชน์จากพัฒนาการด้านบวกต่างๆ ดังกล่าว พร้อมการลดต้นทุนต่างๆ ขณะที่เราคาดจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพิ่มเติม
Valuation and action
เรายังแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 39.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 9.2x (สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง
ในต่างประเทศ) ขณะที่ กำไรใน 2Q67F ไม่น่าตื่นเต้นและการจะเข้าซื้อธุรกิจ Fajar อาจเพิ่มความกังวลต่อนักลงทุน เราคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสเหมาะที่จะทยอยสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนในระยะยาวตาม reward/risk ที่ดูน่าสนใจ ส่วนนักเก็งกำไรที่รับความเสี่ยงต่ำอาจรอภายหลังประกาศงบ 2Q67 แล้ว ทั้งนี้เราเห็นตลาดรวมได้ปรับลดกำไรปี 2567-68F น้อยลงเหลือ 7% (เทียบกับ 10% ก่อนหน้านี้) (Figure 6)
Risks
ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน, ความเสี่ยงด้อยค่าดีล M&A และความเสี่ยงของประเทศ