วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ TIDLOR จะเริ่มกลับมาโตสินเชื่อได้เร็วกว่าคู่แข่งเพราะไม่ปัญหาเงินทุน
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F/2568F ขึ้นอีก 11%/ 7% และ ปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือ เป็นซื้อ
สามารถขยายสินเชื่อได้เพราะไม่มีภาระทางการเงิน
เราคิดว่านโยบายแจกเงินสดของรัฐบาลที่จะเริ่มจากเดือนตุลาคมไปจนถึง 1Q68 และ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าซึ่งสะดุดไปตั้งแต่นโยบายลดค่าครองชีพหมดอายุไปในปี 2566 เรามองว่ากลุ่ม Non-bank จะเป็นกลุ่มหลักที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์นี้จากความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ที่คลายลง และ ความสามารถในการขยายสินเชื่อ ซึ่งภายใต้ภาวะดังกล่าว เรามองว่า TIDLOR น่าจะได้ประโยชน์ ทั้งนี้ เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดในเรื่องการใช้เงินที่รัฐบาลแจกในรอบนี้ เราจึงมองว่าเงินบางส่วนจะถูกนำไปชำระคืนหนี้ที่มีการกู้เพื่อหมุนเงินให้สามารถกู้สินเชื่อส่วนบุคคลต่อได้ และเนื่องจาก TIDLOR ไม่มีภาระในการหาแหล่งเงินทุน จึงน่าจะทำให้ TIDLOR ขยายสินเชื่อได้ดีกว่าคู่แข่ง
ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้จะช่วยเพิ่ม yield อีก 2%
TIDLOR ส่งสัญญาณว่ายอดเก็บเงินสดเดือนกรกฎาคมยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับใน 2Q67 และ ปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อรถบรรทุกในสัญญาใหม่เป็น 16-18% (จากเดิม 14-16%) และ เพิ่มช่วง
อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ไปจนถึง 21% (จากเดิม 18-20%) แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ย
สินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์เอาไว้เท่าเดิม (22-23%) ทั้งนี้ บริษัทบอกว่าการปรับดอกเบี้ยสินเชื่อใหม่จะทำให้
yield ของทั้งพอร์ตทยอยขยับเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ภายใน 2 ปี เราคิดว่าบริษัทจะใช้แนวทางนี้ไปอีกสัก
ระยะหนึ่งในช่วงที่ credit cost เร่งตัวขึ้น และ น่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงหลังจากนั้น
ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (Credit cost) จะไม่มากเท่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้
ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และ ความสามารถในการติดตามหลักประกันจะช่วยให้บริษัทลดงบที่ต้องใช้ในการ write-off หนี้เสียลงได้ โดยเราคาดว่าใน 2H67 จะอยู่ที่ประมาณไตรมาสละ 1.0.-1.2 พันล้านบาท (จากเดิมที่เราคาดไว้ที่ไตรมาสละ 1.4-1.5 พันล้านบาท) ดังนั้น เราจึงปรับลดประมาณการ credit cost ใน 2H67F ลงเหลือ 4% (จากเดิม 4.5%) และ ในปี 2567F ลงเหลือ 3.7% (จากเดม 4%) ทั้งนี้ TIDLOR writeoff หนี้เสียไปถึงเกือบ 1.0 พันล้านบาทใน 2Q67 (เพิ่มขึ้นจากไตรมาสละ 600-700 ล้านบาทในปี 2566)
ปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2567F/2568F ขึ้นอีก 12%/7% และ ปรับเพิ่มราคาเหมาะสม2567F -เป็น 20.5 บาท
เราปรับประมาณการกำไรขึ้นเพื่อสะท้อนถึง 1.) การปรับสมมติฐาน credit cost ปี 2567F/2568F ลงเหลือ
3.7%/3.3% (จากเดิม 4%/3.5%) 2.) การปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมเป็น11%/14.5% (จากเดิม 5%/10%) นอกจากนี้ เรายัง re-rate PE เป็น 14x (จากเดิม 12.5x) หรือเท่ากับ -1S.D. ซึ่งทำให้ได้ราคาเป้าหมายปี 2567F ใหม่ที่ 20.5 บาท ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือ เป็นซื้อ
Risks
ราคารถมือสอง, NPLs เพิ่มขึ้น และ credit cost เพิ่มขึ้น.