วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ วัฏจักรการลดดอกเบี้ยเป็นบวกระยะกลาง
ยังคงมุมมองระวังแรงทำกำไรหรือ sell on fact หลังการลดดอกเบี้ยเฟดครั้งแรก วัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ย (Rate cut cycle) ในภาพรวมเป็นบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยง
ซึ่งหากอิงจากอัตราผลตอบแทนของ S&P500 ในช่วง 1 และ 3 เดือนหลังการปรับลดดอกเบี้ย จะให้ผลตอบแทน +2.45% และ +2.10% แต่ผลตอบแทนสัปดาห์แรกหลังการปรับลดดอกเบี้ย -0.56% ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้การลดดอกเบี้ยจะเป็นบวก แต่มีโอกาสที่ตลาดระยะสั้นจะมีแรงขายทำกำไร จากการที่ตลาดตอบรับปัจจัยบวกจากการปรับลดดอกเบี้ยไปล่วงหน้าแล้ว ทั้งนี้เราคาดเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกเพียง 0.25% ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณต่อนักลงทุนและตลาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง และไม่ได้ประสบความเสี่ยงจากการถดถอย (เทียบกับการลด 0.50% ซึ่งจะเสี่ยงทำให้ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญปัญหา)
อ้างอิงรายงานผลของการลดดอกเบี้ยต่อตลาดหุ้นไทย เรามองการปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลบวกกับหุ้นไทยเนื่องจาก ต้นทุนการเงินที่ลดลงบวกต่อผลประกอบการ, การลดดอกเบี้ยหนุนกลไกการเกิด re-rating และส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายที่แคบลง ดึงดูดเงินทุนต่างชาติ ทั้งนี้ผลของการลดดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ต่อตลาดหุ้นไทยใน 5 วัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา 3 ครั้งเป็นบวกต่อหุ้นไทย (สหรัฐฯ ไม่เกิดภาวะถดถอย) ขณะที่ 2 ครั้งเป็นลบ (เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย) ซึ่งจากตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในปัจจุบัน เราให้น้ำหนักกับการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นไทย กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย ได้แก่ การเงิน, ธนาคาร, ไฟฟ้า ขณะที่ค้าปลีก, อาหาร, ปิโตรเคมี และรับเหมาก่อสร้าง จะได้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นทางการเงินที่มากขึ้น โดยหุ้นเด่น ได้แก่ MTC, EGCO, RATCH, CPALL, BTG, TFG, CK ขณะที่กลุ่มธนาคาร ด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้น 20-30% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เรามองรอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยหุ้นเด่นคือ BBL, KBANK และ KTB
ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัว และระวังแรงขายทำกำไรหุ้นธนาคารและสื่อสารหลังใกล้หมดระยะเวลาขอใบอนุญาต Virtual Bank และเน้นการเข้าซื้อแบบเจาะจง (selective buy) มากขึ้น ยังคาดกลุ่มคล้ายพันธบัตร และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ แกร่งกว่าตลาด // ขณะที่หุ้นที่ผลประกอบการเข้าสู่ช่วง high season อย่างกลุ่มท่องเที่ยว และการแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA
แนวรับ: 1,425 / แนวต้าน : 1,445 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• CK* (24) : ได้ประโยชน์จากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐ, การลดดดอกเบี้ย, และการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคต ตัดขาดทุน 20 บาท
• AWC* (4.50) : ผลการดำเนินงานไตรมาส 3-4 ได้อานิสงค์จากปัจจัยด้านฤดูกาล ขณะที่บริษัทแสดงความสนใจเข้าร่วมประมูล Entertainment complex ตัดขาดทุน 3.60 บาท
• VRANDA* (7) : ผลการดำเนินงานปีนี้ turnaround ได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การไม่มีขาดทุนของธุรกิจอาหาร และการโอกนโครงการอสังหาฯ ตัดขาดทุน 5.30 บาท
• SAMART* (8) : ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐฯ และการลงทุนด้าน IT/AI ตัดขาดทุน 6.20 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- “แพทองธาร” แต่งตั้ง 6 กุนซือนายกฯ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” นั่งประธาน
- ครม.ไฟเขียว แจกเงิน 10,000 บาท “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-บัตรคนพิการ” เริ่มทยอยจ่ายเงิน 25 ก.ย.67
- ครม.อนุมัติปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะ ก่อหนี้ใหม่เพิ่มเป็น 1.14 ล้านลบ.
- ครม.ให้ขยายเวลาคง VAT ที่ 7% ต่ออีก 1 ปีสิ้นสุด 30 ก.ย.68
- กรุงไทย – กลุ่ม Gulf – กลุ่ม PTT ยื่นขอ ” Virtual Bank ” แล้ว
- สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสูงกว่าคาดในเดือนก.ย.
- เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค.
- สหรัฐเผยยอดค้าปลีกสูงกว่าคาดในเดือนส.ค.
- PRM ใกล้ปิดดีล M&A หนุนกลยุทธ์ขยายธุรกิจระยะยาว แย้มครึ่งปีหลังผลงานสดใส
- ศาลปกครองยกฟ้องคดี STEC เรียกค่าเสียหายกรณีส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างรัฐสภาใหม่ล่าช้า
- Special report : Impact Of Rate Cuts On Thai Equity Market
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
19 ก.ย. – FOMC Meeting