วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ SVI ประมาณการ 3Q67: มีการกลับมาตุนสต็อกอีกครั้ง
จากข้อมูลของ Semiconductor Industry Association (SIA) ยอดขาย semiconductor โลกในเดือนสิงหาคม 2567 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 5.31 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ (+21% YoY, +4% MoM)
ภูมิภาคพบว่ายอดขายในสหรัฐเติบโตสูงที่สุด YoY ที่ 44% รองลงมาคือจีน (17%) ส่งผลให้ยอดขาย
semiconductor โลกในงวด 8M67 อยู่ที่ 3.905 แสนล้านดอลลาร์ฯ (+18% YoY) คิดเป็น 64% ของประมาณ
การเต็มปีของ World Semiconductor Trade Statistics (WSTS) ที่ 6.11 แสนล้านดอลลาร์ ฯ ทั้งนี้ ยอดขาย
semiconductor โลกที่แข็งแกร่งอาจเป็นการบ่งบอกว่ามีการกลับมาตุนสต็อกอีกครั้ง และ มีอุปสงค์สนับสนุนจากการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้
ประมาณการ 3Q67: กำไรจากธุรกิจหลักจะเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ
เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SVI ใน 3Q67 จะอยู่ที่ 344 ล้านบาท (+42% YoY, -31% QoQ) โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะเป็นเพราะยอดขายเพิ่มขึ้นพอสมควรเนื่องจากมีการกลับมาตุนสต็อกอีกครั้ง และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก product mix ที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน กำไรที่ลดลง QoQ จะเป็นเพราะอัตรากำไรขั้นต้นถูกบีบจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้กำไรจากธุรกิจหลักในงวด 9M67 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท (+61% YoY) และ คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา ทั้งนี้ เราคาดว่ายอดขายใน 3Q67 จะเพิ่มขึ้นเป็น 172 ล้านดอลลาร์ฯ (+8% YoY, +6% QoQ) จากการกลับมาตุนสต็อก ซึ่งจะทำให้ยอดขายในงวด 9M67 อยู่ที่ 477 ล้านดอลลาร์ฯ (-6% YoY) และ คิดเป็น 73% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา นอกจากนี้ เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะถูกบีบจนเหลือ 10.0% (+1.2ppts YoY, -2.0ppts QoQ) เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ในขณะที่คาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายจะอยู่ที่ 3.9% (จาก 3.8% ใน 3Q66 และ 3.6% ใน 2Q67)
โมเมนตัมยอดขายจะดีต่อเนื่อง แต่ยังต้องจับตาการบริหารจัดการอัตรากำไร
เราคาดว่าโมเมนตัมยอดขายของ SVI จะเป็นบวกจากการกลับมาตุนสต็อก อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถือเป็นความเสี่ยงที่จะบีบอัตรากำไร ทั้งนี้ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก ๆ 1 บาท/ดอลลาร์ฯ จะทำให้กำไรสุทธิของ SVI ลดลงประมาณ 8%
Valuation & action
เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” SVI โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 9.00 บาท อิงจาก PER ที่ 16.0x
(ค่าเฉลี่ยในอดีต)
Risks
ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2567F ที่ 35.5 บาท/ดอลลาร์ฯ และ ปี2568F ที่ 34.3 บาท/ดอลลาร์ฯ) และ ความล่าช้าในกระบวนการทดสอบผลิตภัณฑ์