วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ หุ้นไทยอ่อนแรงลง แนะหมุนเงินเข้ากลุ่ม Defensive
หมุนเงินลงทุนสู่หุ้น Defensive ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง 6.1% จากวันก่อนหน้า คาดจะกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำต่อเนื่อง ประเมินโมเมนตัมตลาดหุ้นไทยจะยังอ่อนแรง
ประกอบกับเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนได้ เราแนะหมุนเงินลงทุนไปยังกลุ่ม Defensive และมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดี หรือมี catalyst ช่วยหนุน อาทิ 1) กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่แนวโน้มผลการดำเนินงานจะแข็งแกร่ง และเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมีการกู้ยืมหนี้สูง และ 2) กลุ่มโรงพยาบาล ที่ได้แรงหนุนจากการปรับเข้ามาของผู้ป่วยต่างชาติ และเข้าสู่ช่วง highn season ในไตรมาส 3
คาดเห็นการแกว่งออกข้างถึงพักฐาน ในระยะสั้นเราประเมินตลาดหุ้นไทย อาจมีการแกว่งออกข้าง ถึงพักฐาน เนื่องจาก 1) ดัชนีปรับขึ้นมาแล้วกว่า 200 นับตั้งแต่จุดต่ำสุดของรอบ (6 ส.ค.) หรือหลังการได้นายกฯ รัฐมนตรีเป็นคุณแพทองธาร ชินวัตร, 2) คาดผลประกอบการไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยสูง เนื่องจากรายได้ และกำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 จะถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงค่อนข้างมาก และ 3) คาด Catalyst ใหม่ช่วยหนุนในระยะสั้น เรายังคงแนะกลยุทธ์แบบเลือกลงทุนเป็นรายตัวเป็นหลัก
การปรับขึ้นมาในโซน 1,500-1,535 จุด เป็นระดับที่มีความเสี่ยงต่อแรงทำกำไร ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นกว่า 200 จุดในช่วง 2.5 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ตลาดและนักลงทุนส่วนใหญ่คาด อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่จำนวนมากในระดับ 30%-50% ทำให้อาจต้องเริ่มระวังความผันผวนจากแรงทำกำไรที่จะตามมา การเก็งกำไรเน้นหุ้นที่ยัง Laggards หรือมีปัจจัยผลักดัน
ภาพรวมกลยุทธ์ “กรอบการเก็งกำไรยกขึ้นเป็น 1,460-1,535 จุด เลือกเก็งกำไรรายตัว สะสมหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างท่องเที่ยว การแพทย์ อาหารสัตว์เลี้ยงเราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA, BCH, BDMS, ITC //หุ้นได้แประโยชน์ Data center: WHA, INSET, ITEL, MFEC, AIT, ICN, LTS // หุ้นต่ำมูลค่าทางบัญชี FLOYD, IND, BC
แนวรับ: 1,450 / แนวต้าน : 1,486-1,500 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• MTC* (56) : คาดจะได้อานิสงส์เชิงบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตัดขาดทุน 51.00 บาท
• BGRIM* (30) : คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ และมองเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง ตัดขาดทุน 21.00 บาท
• IVL* (32) : คาดกำไรสุทธิ 3Q67 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่นักวิเคราะห์ในตลาดจะปรับกำไรสุทธิ และราคาเป้าหมายขึ้น ตัดขาดทุน 24 บาท
• AU* (10.90) : คาดกำไรสุทธิ 3Q67 เติบโต 38% yoy หนุนจาก SSSG ที่เป็นบวก และการ OEM ขนมปังเนยโสดเข้าสู่ 7-eleven ตัดขาดทุน 9.70 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- คาดสหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มเพียง 111,000 ตำแหน่งเดือนต.ค.
- เงินเยน อ่อนค่าต่อเนื่องกว่า 1% นักลงทุนกังวลผลกระทบพรรค LDP-พันธมิตร สูญเสียเสียงข้างมาก
- ราคาน้ำมัน WTI ทรุดกว่า 6% หลุด $68 หลังอิสราเอลเลี่ยงโจมตีแหล่งน้ำมันอิหร่าน
- ส่งออก ก.ย.โต 1.1% ต่ำกว่าตลาดคาด แต่มูลค่าพุ่งใกล้ 2.6 หมื่นล้านดอลล์ เกินดุล 2 เดือนติด มั่นใจทั้งปีเกินเป้า 2%
- "แมคโดนัลด์" ยันเนื้อบดไม่ใช่สาเหตุการระบาดของเชื้ออีโคไล
- AOT เที่ยวบินโต 22.1% ผู้โดยสารอัพ 23% เปิดระบบ Biometric 1 พ.ย.
- ASW ลุยโปรเจ็คภูเก็ตต่อ Q4/67 เปิด 4 โครงการกว่า 1.55 หมื่นลบ. มั่นใจปีนี้โตตามเป้า
- PTTEP ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิลดลงเหลือ 1.79 หมื่นลบ.
- กลุ่ม Property แนะนำ MARKET WEIGHT/ PTTEP แนะนำ “ซื้อ” เป้า 160 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
29 ต.ค. – US JOLTs Job Openings (Sep)
30 ต.ค. – EU GDP Growth Rate (3Q67)