วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน ติดตามผลประกอบการในสัปดาห์สุดท้าย
ตลาดกลับมาโฟกัสที่ผลประกอบการ หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดนักลงทุนจะกลับมาโฟกัสที่การรายงานผลประกอบการในไตรมาส 3/67 ของบริษัทจดทะเบียนอีกครั้ง
เราประเมินในไตรมาสนี้กลุ่มที่งบการเงิน และโมเมนตัมยังดี ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ที่เตรียมเข้าสู่ช่วง high season ในช่วงปลายปี, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่ยังคงได้ประโยชน์จากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน สำหรับตลาดหุ้นไทย คาดจะยังคงผันผวน แต่มีโอกาสที่ Fund Flow จะเริ่มไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นไทย จากค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลัง FOMC มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ลงอีก 0.25% จาก 5.00% เป็น 4.75% ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ-ไทย แคบลง
กระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน คาดตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนในเดือน พ.ย. เราแนะนำ กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนเป็น 2 ส่วน 1) หุ้นที่อยู่ในโมเมนตัมขาขึ้นและมีแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเรามองว่าเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA, AMATA) และ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) โดยทั้งสองกลุ่มจะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน เรามองว่ามีโอกาสเห็นการเก็งกำไรหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ 2) หุ้น Laggard ที่มีโมเมนตัมของกำไรที่แข็งแกร่ง ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, RATCH, EGCO) ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT,ERW,VRANDA) ที่ราคาได้รับรู้ปัจจัยลบไปมาก
แนวรับถัดไป 1,430 ระยะกลางตลาดยังอยู่ในภาพของการพักฐานบริเวณ 1,430-1,450 จุด ภาพใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ในขณะที่บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นภาพของการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง ตามกลุ่มที่มีการทยอยประกาศผลประกอบการ 3Q67 หุ้นหลายตัวมีการปรับฐานตามเล็กน้อยจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ระยะกลางมองแนวรับที่ 1,430 จุด
ภาพรวมกลยุทธ์ “กรอบการเก็งกำไร 1,430-1,500 จุด เลือกเก็งกำไรรายตัว สะสมหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างท่องเที่ยว การแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA, BCH, BDMS 2) หุ้นได้ประโยชน์การ Relocation : WHA,TRUE, INSET, ITEL, MFEC, AIT, ICN, LTS 3) หุ้นต่ำมูลค่าทางบัญชี FLOYD, IND, BC
แนวรับ: 1,430 แนวต้าน : 1,500 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• ADVANC* (310) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น yoy หนุนจากธุรกิจ FBB และคาดจะมี catalyst ใหม่ หลัง GULF เข้ามาถือหุ้นโดยตรง ตัดขาดทุน 268 บาท
• HMPRO* (11) : คาด SSSG จะเริ่มฟื้นตัวได้ใน 4Q67 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการใช้จ่ายในประเทศ ตัดขาดทุน 9.25
• SISB* (42) : คาดกำไรสุทธิ 3Q67จะเพิ่มขึ้นเด่นจากการเปิดเทอมใหม่ของโรงเรียน และจำนวนนักเรียนที่ยังคงระดับสูง ตัดขาดทุน 32 บาท
• WHA* (6.50) : คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 เติบโตเด่น yoy จากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง ตัดขาดทุน 5.60 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- เฟดมีมติเอกฉันท์หั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด
- ดอลลาร์อ่อนค่า หลังเฟดหั่นดอกเบี้ยอีก 0.25%
- REIC เผย ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย Q3/67 เพิ่มขึ้นแบบชะลอตัว
- จับตาประชุมเจ้าหนี้ การบินไทย วันที่ 8 พ.ย.นี้
- BCP รายได้รวม 9 เดือนปี 67 ทุบสถิติรับรู้ Synergy สะสมทะลุเป้า แม้เจอ Inventory Loss กดดัน
- BJC ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 701.36 ลบ.
- GPSC ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิลดลงเหลือ 770.07 ลบ.
- BH แนะนำ “ซื้อ” เป้า 303 บาท/ BCP แนะนำ ‘ซื้อ” เป้า 45 บาท/ BJC แนะนำ “ซื้อ” เป้า 28 บาท/ LPN แนะนำ “ขาย” เป้า 2.10 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
12 พ.ย. – US Inflation (Oct)
15 พ.ย. – JP GDP Growth Rate (3Q67)