วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากเงินบาท และผลประกอบการ 3Q67
เงินบาทคงอ่อนค่าหลังการแถลงของประธาน FOMC ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังคุณ Powell ประธาน FOMC แถลงว่า FOMC ไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากเศรษฐกิจ และภาคแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ส่งผลให้เกิดแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยง
สำหรับตลาดหุ้นไทย เรายังคงมุมมองระมัดระวังในช่วงนี้ จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และผลประกอบการ 3Q67 ของบริษัทจดทะเบียนออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ กลยุทธ์คงแนะนำกลุ่ม Defensive ที่กำไรแข็งแกร่ง อาทิ BDMS และหุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก ที่เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจาก Fund Flow ที่ไหลออกจำกัด เราชอบ AU, MEB, MENA และ VRANDA จากกำไร 3Q67 ที่ออกมาแข็งแกร่ง
กระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน คาดตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนในเดือน พ.ย. เราแนะนำ กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนเป็น 2 ส่วน 1) หุ้นที่อยู่ในโมเมนตัมขาขึ้นและมีแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเรามองว่าเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) โดยมองกลุ่มจะได้ประโยชน์จากการประมูลคลื่นรอบใหม่ จากคู่แข่งที่ลดลง ทำให้ราคาในการประมูลจะถูกลงจากการประมูลครั้งก่อน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีหนี้สินค่อนข้างมาก จึงมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงด้วย และ 2) หุ้น Laggard ที่มีโมเมนตัมของกำไรที่แข็งแกร่ง ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, RATCH, EGCO) ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT,ERW,VRANDA) ที่ราคาได้รับรู้ปัจจัยลบไปมาก
แนวรับถัดไป 1,440 ระยะกลางตลาดยังอยู่ในภาพของการพักฐานบริเวณ 1,430-1,450 จุด ภาพใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ในขณะที่บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นภาพของการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง ตามกลุ่มที่มีการทยอยประกาศผลประกอบการ 3Q67 หุ้นหลายตัวมีการปรับฐานตามเล็กน้อยจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ระยะกลางมองแนวรับที่ 1,440 จุด
ภาพรวมกลยุทธ์ “กรอบการเก็งกำไร 1,440-1,470 จุด เลือกเก็งกำไรรายตัว สะสมหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างท่องเที่ยว การแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA, BCH, BDMS 2) หุ้นได้ประโยชน์การ Relocation : WHA,TRUE, INSET, ITEL, MFEC, AIT, ICN, LTS 3) หุ้นต่ำมูลค่าทางบัญชี FLOYD, IND, BC
แนวรับ: 1,440 แนวต้าน : 1,470 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• MENA* (1.60) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 58% qoq จากความต้องการคอนกรีตที่เพิ่มขึ้น ตัดขาดทุน 1.20 บาท
• COCOCO* (13) : ราคาหุ้นปรับลงมารับกำไร 3Q67 ที่อ่อนแอ ไปพอสมควรแล้ว และทำให้ valuation กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตัดขาดทุน 10.50 บาท
• BDMS* (33) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 9% yoy หนุนจากทั้งผู้ป่วยไทย และต่างชาติ ตัดขาดทุน 25.00 บาท
• VRANDA* (7) : กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 5 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนไทย 3Q66 จากทั้งรายได้ และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ตัดขาดทุน 5.10 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- "พาวเวล" ส่งสัญญาณเฟดไม่รีบลดดอกเบี้ย เหตุเศรษฐกิจ-ตลาดแรงงานยังแกร่ง
- EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด
- CPALL ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 5.61 พันลบ.
- CPF และบ.ย่อย ไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 7.31 พันลบ.
- CPN ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิลดลงเหลือ 4.13 พันลบ.
- RATCH ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1.66 พันลบ.
- ERW ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิลดลงเหลือ 124.53 ลบ.
- GULF กำไรสุทธิ Q3/67 โตแกร่ง รับธุรกิจพลังงาน-ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH
- RBF ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิลดลงเหลือ 109.18 ลบ.
- SABINA ไตรมาส 3/67กำไรสุทธิลดลงเหลือ 110.2 ลบ.
- AMATA แนะนำ “ซื้อ” เป้า 35 บาท/ CPN แนะนำ “ซื้อ” เป้า 84 บาท/ CPF แนะนำ “ซื้อ” เป้า 31 บาท/ TOP แนะนำ “ซื้อ” เป้า 42 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
15 พ.ย. – US Retail Sales / Industrial Production