วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ โมเมนตัมอ่อนแอ เน้นเลือกลงทุนเป็นรายตัว
บาทอ่อน และผลประกอบการที่ต่ำคาดฉุดรั้งตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยยังคงมีโมเมนตัมที่อ่อนแอ ฉุดรั้งจากทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่า หนุนเงินลงทุนต่างชาติไหลออก และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน 3Q67 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด
โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ที่มีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยเป็นลำดับต้นๆ จึงมีโอกาสที่จะเห็นการปรับลดประมาณการของบริษัทจดทะเบียน และ EPS ของ SET Index ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนหน้า อาทิ ADVANC, GULF, INTUCH เริ่มเห็นแรงขายทำกำไร หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาต่อเนื่อง ด้านปัจจัยมหภาคเราประเมินการที่นักลงทุนประเมินว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด จะเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดหุ้น EM สำหรับวันนี้เรายังคงเน้นกลุ่ม Defensive ที่ผลมีผลประกอบการดี อาทิ BDMS และกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เนื่องจากประเมินว่าจะได้รับผลกระทบจาก Fund Flow ไหลออกจำกัด
กระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน คาดตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนในเดือน พ.ย. เราแนะนำ กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนเป็น 2 ส่วน 1) หุ้นที่อยู่ในโมเมนตัมขาขึ้นและมีแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเรามองว่าเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) โดยมองกลุ่มจะได้ประโยชน์จากการประมูลคลื่นรอบใหม่ จากคู่แข่งที่ลดลง ทำให้ราคาในการประมูลจะถูกลงจากการประมูลครั้งก่อน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีหนี้สินค่อนข้างมาก จึงมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงด้วย และ 2) หุ้น Laggard ที่มีโมเมนตัมของกำไรที่แข็งแกร่ง ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, RATCH, EGCO) ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT,ERW,VRANDA) ที่ราคาได้รับรู้ปัจจัยลบไปมาก
แนวรับถัดไป 1,440 ระยะกลางตลาดยังอยู่ในภาพของการพักฐานบริเวณ 1,430-1,450 จุด ภาพใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ในขณะที่บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นภาพของการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง ตามกลุ่มที่มีการทยอยประกาศผลประกอบการ 3Q67 หุ้นหลายตัวมีการปรับฐานตามเล็กน้อยจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ระยะกลางมองแนวรับที่ 1,440 จุด
ภาพรวมกลยุทธ์ “กรอบการเก็งกำไร 1,440-1,470 จุด เลือกเก็งกำไรรายตัว สะสมหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างท่องเที่ยว การแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA, BCH, BDMS 2) หุ้นได้ประโยชน์การ Relocation : WHA,TRUE, INSET, ITEL, MFEC, AIT, ICN, LTS 3) หุ้นต่ำมูลค่าทางบัญชี FLOYD, IND, BC
แนวรับ: 1,440 แนวต้าน : 1,470 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• MENA* (1.60) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 58% qoq จากความต้องการคอนกรีตที่เพิ่มขึ้น ตัดขาดทุน 1.20 บาท
• BBL* (159) : ประเมินราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นได้ หลังนักลงทุนเริ่มมองว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด ตัดขาดทุน 145 บาท
• BDMS* (33) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น 9% yoy หนุนจากทั้งผู้ป่วยไทย และต่างชาติ ตัดขาดทุน 25.00 บาท
• VRANDA* (7) : กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 5 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนไทย 3Q66 จากทั้งรายได้ และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ตัดขาดทุน 5.10 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 0.3% ในเดือนต.ค.
- สหรัฐเผยยอดค้าปลีก +0.4% เดือนต.ค. สูงกว่าคาดการณ์
- GDP ญี่ปุ่น พลิกขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 3 หลังหดตัวต่อเนื่อง
- ยอดขายรถยนต์ไทย ร่วง 28% ในไตรมาส 3 ตลาดชะลอตัวต่อเนื่อง 16 เดือน
- RATCH กำไร 9 เดือนแรกเฉียด 5.5 พันลบ.EBITDA กว่า 1.28 หมื่นลบ.ทะลุเป้า ส่วนแบ่งกำไรร่วมทุนหนุนโต
- BANPU แนะนำ “ซื้อ” เป้า 5.10 บาท/ LH แนะนำ “ถือ” เป้า 6 บาท/ PTTGC แนะนำ “ถือ” เป้า 24.50 บาท/ ERW แนะนำ “ซื้อ” เป้า 6.60 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
18 พ.ย. – TH GDP Growth Rate (3Q67)