วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ไร้ปัจจัยผลักดันใหม่
หุ้นยุโรปและสหรัฐฯ ได้รับแรงกดดันจากจีน หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราในยุโรป ปรับลดลงหลังตัวเลขส่งออกและนำเข้าจีน พ.ย. ชะลอตัวต่อเนื่อง และออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับลดลง ทั้งจากผลประกอบการ Oracle ต่ำคาด และจากข่าวสำนักงานควบคุมกฎระเบียบตลาดของจีน (SAMR) เปิดการสอบสวนกรณีที่บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) อาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดของจีน ซึ่งอาจเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังบริษัทจีนจำนวน 140 แห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตชิปของจีน
ภาพรวมการลงทุนยังเป็นบวกจากวัฏจักรปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารใหญ่ของโลก: แม้บรรยากาศลงทุนช่วงสั้นอาจชะลอลง แต่โมเมนตัมโดยรวมยังได้รับปัจจัยบวกจากวัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ย ที่น่าจะลดในอัตราเร่งตัวขึ้นอย่างมากในปี 2568 โดยอาจแกว่งตามปัจจัยที่เข้ามากระทบระยะสั้น โดยมีปัจจัยติดตามในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ได้แก่ 1) การรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ พ.ย. (11 ธ.ค.) ที่คาดออกมา +2.7% 2) การประชุมธนาคารกลางยุโรป (12 ธ.ค.) 3) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (18 ธ.ค.)
องค์ประกอบของ SET มีสัญญาณเชิงบวกขณะที่หุ้นใน SET50 และ SET100 เริ่มอยู่ในจุดที่มีโอกาสฟื้นตัว: หากพิจารณาความแข็งแกร่งของหุ้นไทยจาก Market breadth จะพบว่าแม้ SET จะอยู่ในช่วงย่อปรับฐานและอยู่ในโซนต่ำ แต่องค์ประกอบของ SET มีสัญญาณบวกที่ปรับดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 1) สัดส่วนหุ้นที่ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ที่กำลังเพิ่มขึ้นโดยล่าสุดอยู่ที่ 27.7% 2) สัดส่วนหุ้นที่เริ่มทำจุดสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 12.57% // ขณะเดียวกันหากพิจารณาสมาชิกใน SET50 และ SET100 จะพบว่าหลักทรัพย์จำนวนมากเริ่มมีโมเมนตัมการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น ดังนั้นการปรับตัวลดลงหรือชะลอตัวของตลาดในช่วงนี้ เรามองเป็นโอกาสในการซื้อ
ภาพรวมกลยุทธ์ “แกว่งตัวในกรอบ Sideway 1,440-1,460 จุด โดยเราประเมินว่า SET ที่ระดับ 1,440 จุด หรือต่ำกว่า เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการเข้าทยอยซื้อ โดย Theme play หลักที่เราให้น้ำหนักอยู่ในกลุ่ม Earnings momentum play ใน 4Q24-1Q25 โดยเรายังคงชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก โดยคาดธนาคาร และการเงิน จะเป็นกลุ่มช่วยประคองบรรยากาศรวม // หุ้นที่ได้แรงหนุนจากรายจ่ายภาครัฐ ได้แก่ SYNEX, SIS, SAMART, CSS, CK, STECON // ผู้ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีควรทยอยซื้อ RMF, SSF, Thai ESG
แนวรับ: 1,444-1,438 แนวต้าน : 1,458-1,465 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• AEONTS* (140): ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 คาดยังลดลง -16% QoQ และ -2% YoY แต่ทิศทางการปล่อยสินเชื่อเริ่มกลับมาเดินหน้า เป็นสัญญาณบวก ว่าสถานการณ์หนี้เสียและตั้งสำรองอยู่ในทิศทางที่ควบคุมได้ ตัดขาดทุน 120 บาท
• TTB* (1.90): ผลประกอบการอยู่ในวัฏจักรการปรับประมาณการกำไรขาขึ้นต่อเนื่อง และการตั้งสำรองอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราคาดจะไม่มีสำรองก้อนใหญ่มากดดันผลประกอบการไตรมาส 4/67 ตัดขาดทุน 1.76 บาท
• CPAXT* (40): การเปลี่ยนจาก LPF เป็น AXTRART ทำให้ CPAXT จะสามารถขายสินทรัพย์บางส่วนเข้ากองเพิ่มได้ ส่งผลบวกต่อฐานะการเงินและอาจมีกำไรพิเศษ ตัดขาดทุน 34.75 บาท
• SAMART* (8): ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุด และมีสัญญาณฟื้นตัวที่เด่นชัดในปี 2568 จากการฟื้นตัวของบริษัทลูกทั้งหมดทั้ง SDC, SAV, SAMTEL ตัดขาดทุน 6.80 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- "ทรัมป์" ให้สัมภาษณ์สื่อ ยืนยันไม่มีแผนปลด "พาวเวล" พ้นเก้าอี้ประธานเฟด
- จีนเผย CPI เดือนพ.ย.เพิ่ม 0.2% ต่ำกว่าคาดการณ์ บ่งชี้ยังเผชิญเงินฝืด
- กกร. ย้ำจุดยืนยังไม่ควรขึ้นค่าแรง 400 บ. ชี้เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง ห่วงกระทบเป็นลูกโซ่
- ราคาน้ำมัน WTI ร่วงใกล้หลุด $68 ขายทำกำไรฉุดตลาด
- KTC เปิดแผนธุรกิจปี 68 เป้าสินเชื่อรวมโต 4-5%
- WHA Group เล็งทุ่ม 3.3 หมื่นล้าน สร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ รับมืออุปทานเปลี่ยนทิศ
- FTSE Large Cap Index หุ้นเข้า : MINT หุ้นออก : EA / FTSE Mid Cap Index หุ้นเข้า : CCET, EA หุ้นออก : BLAND, BYD, MINT, ORI, SPCG
- MEDIA ปรับลดน้ำหนักเป็น MARKETWEIGHT/ AEONTS แนะนำ “ซื้อ” เป้า 158 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
11 ธ.ค. – US Core Inflation (Nov)/ ECB Interest rate Dicision
12 ธ.ค. – แถลงผลงานรัฐบาล