วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.กรุงศรี Healthcare ประกันแบบ Co-Payment จะเริ่มใช้ มี.ค.2025
ธุรกิจประกันเสนอสำนักงาน คปภ. กำหนดเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Co payment) กรณีผู้เอาประกันเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเครมตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ คาดว่าจะเริ่มใช้เดือน มี.ค.25
ทั้งนี้ภาพรวมการให้บริการรักษาโรคเล็กน้อยไม่ใช่บริการหลักของกลุ่ม รพ.ที่ศึกษาของเรา ในเบื้องต้นเราประเมิน Sensitivity รายได้จากโรคเล็กน้อยมีสัดส่วนระหว่าง 5%-20% ของรายได้ประกัน โดยกรณีแย่สุด ภายใต้สมมติฐานรายได้จากกลุ่มโรคเล็กน้อยมีสัดส่วน 20% ของรายได้ประกัน และมีผลกระทบจาก Copayment คาดมีผลกระทบจำกัดต่อรายได้และกำไรปกติปี 25F ราว 2%-6% และ 3%-8% ตามลำดับ สำหรับรพ.ที่คาดว่าจะมีผลกระทบมากสุดคือ THG ส่วน BH คาดกระทบน้อยสุด
ประเด็นข่าว
- ภาคธุรกิจประกันเสนอแนวปฎิบัติต่อสานักงาน คปภ. ในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เบี้ยประกันภัยสูงจนผู้เอาประกันไม่สามารถเข้าถึงได้ คาดว่าจะเริ่มใช้ตั้งแต่เดือนมี.ค.2025 โดยเบื้องต้นได้กาหนด 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่
1. กำหนดหลักเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย (Renewal) หากผู้เอาประกันภัยมีการเคลมเกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือมีการเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัย แต่ละรายในรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ
2. กำหนดให้มีการจ่ายค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ ตามอัตราค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ไม่เกิน 100% ของค่าธรรมเนียมแพทย์ที่ 90 เปอร์เซ็นต์ไทล์ ตามที่กำหนดในคู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์ของแพทยสภาประเทศไทย เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนค่าธรรมเนียมแพทย์
3. พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์เฉพาะกลุ่มการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี เพื่อให้หลักเกณฑ์มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับเด็กซึ่งเปราะบางกว่ากลุ่มอายุอื่น
- มาตรฐานประกันสุขภาพใหม่ปี 2021 กำหนดการป่วยเล็กน้อย (Simple diseases) หมายถึง การป่วยเล็กน้อยทั่วไปใน 5 กลุ่มโรคตามระบบ ICD-10 ได้แก่ 1.โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบนอักเสบ (Upper Respiratory Tract Infection) 2.โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) 3.ท้องเสียเฉียบพลัน (Acute Diarrhea) 4.โรคเวียนศรีษะ (Vertigo) 5.โรคอื่นๆ ที่บริษัทประกาศกำหนด โดยไม่ปรากฎโรคหรือภาวะแทรกซ้อน หรือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงหรือป่วยด้วยโรคอื่นตามมา (ที่มา: สำนักงาน คปภ.)
ความเห็นและคำแนะนำ
- เรารวบรวมสัดส่วนรายได้จากประกันภายในประเทศ (Local Insurance) ของกลุ่ม รพ. ที่เราศึกษา 5 บริษัท พบว่า THG มีสัดส่วนราว 32% มากสุด รองมาเป็น BDMS มีสัดส่วน 31% ส่วน BCH, CHG มีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ 25% และ BH มีสัดส่วน 12% น้อยสุด
- เราสอบถามกับ รพ.ที่ศึกษาระบุ การให้บริการรักษาโรคเล็กน้อยทั่วไป (Simple diseases) ไม่ใช่บริการหลัก ทั้งนี้เราลองประเมิน Sensitivity รายได้จากโรคเล็กน้อยทั่วไปมีสัดส่วนระหว่าง 5%-20% ของรายได้ประกันราย รพ. คาดว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้และกำไรปกติปี 2025F ของกลุ่ม รพ.ที่ศึกษาราว 1%-6% และ 1%-8% ตามลำดับ
- เบื้องต้นเราประเมินกรณีแย่สุด ภายใต้สมมติฐานรายได้จากกลุ่มโรคเล็กน้อยทั่วไปมีสัดส่วนราว 20% ของรายได้ประกันราย รพ. และการใช้บริการประเภทนี้มีผลกระทบจากเกณฑ์ Copayment คาดว่าจะมีผลกระทบจำกัดต่อกลุ่ม รพ.ที่ศึกษา โดยคาดมีผลกระทบต่อรายได้และกำไรปกติปี 25F ราว 2%-6% และ 3%-8% ตามลำดับ สำหรับ รพ.ที่คาดว่าจะมีผลกระทบมากสุด ตามสมมติฐานของเราคือ THG ขณะที่ BH จะมีผลกระทบน้อยสุด
- แนะนำ Bullish สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) กลุ่มผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทำให้ Intensity ค่ารักษาโรคยากซับซ้อนของ รพ.มีแนวโน้มสูงขึ้น 2) คาดการปรับตัวของกลุ่มลูกค้าประกัน จะทำให้ประกันแบบ Copayment มีผลกระทบจำกัดต่อกลุ่มฯ 3) การการันตีจ่ายค่ารักษาประกันสังคม RW>2 สำหรับงบฯ ปี 25 ทำให้รายได้ประกันสังคมปี 25 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น และ 4) ได้ประโยชน์จากการเติบโตของตลาด Medical Tourism นอกจากนี้ พิจารณา Valuation ของกลุ่มฯ ซื้อขายเทียบเท่า Forward PE 25F ใกล้เคียง -1.0SD
- หุ้นเด่นเลือก BDMS (Buy TP 37.50) เนื่องจาก Capacity พร้อมรับการเติบโตระยะยาว, ส่วนผสมลูกค้ากระจายตัวทั้งชาวไทยและต่างชาติ